ตั้งแต่เรียนจนเข้าวัยทำงานเราคงได้ยินคำว่า บัตรกดเงินสด บัตรเครดิต บัตรเดบิต กันมาบ่อยๆ ซึ่งเราก็พอรู้นะว่าบัตรแต่ละใบมันมีไว้สำหรับซื้อของ รูดบัตรต่างๆ แต่เชื่อสิว่าบางคนไม่มีทางรู้หรอกว่าลึกๆ บัตรเหล่านั้นเขามีหน้าที่ เงื่อนไขอะไรบ้าง และทำไมบางคนถึงเลือกที่จะมี และทำไมบางคนถึงเลือกที่จะไม่มี มันต่างกันยังไงนะ  วันนี้พวกเรา Lifesara เลยขอพาทุกคนมาทำความเข้าใจถึงความหมายของแต่ละบัตรว่า ทำไมถึงสำคัญในชีวิตนะ จะมีอะไรบ้างไปติดตามกันเลยจ้า

 1

บัตรกดเงินสดคืออะไร?

บัตรกดเงินสดเป็นสินเชื่อส่วนบุคคลรูปแบบบัตร ที่เราสามารถกดเงินอนาคตได้ หรือกดเงินด่วนมาใช้สำรองก่อน แน่นอนว่าต่างกับบัตรเครดิต เพราะใบนี้มีหน้าที่แค่กดเงินออกจากตู้เอทีเอ็ม ไม่ต้องมีหลักทรัพย์ ไม่ต้องมีค้ำประกัน ไม่ต้องมีเงินเก็บในเอทีเอ็ม แต่สามารถกดถอนเงินออกมาได้เลย 

———————————————-

วงเงินของบัตรกดเงินสด
บัตรกดเงินสด เป็นบัตรที่ธนาคารหรือสถาบันทางการเงินส่วนใหญ่จะให้วงเงินสูงสุดอยู่ที่ 5 เท่าของเงินเดือน ซึ่งก็ต้องดูจากแต่ละนโยบายของธนาคารอีกด้วย 

การคิดดอกเบี้ยค่าบริการ
การคิดดอกเบี้ยค่าบริการของบัตรกดเงินสด จะคิดทันทีหลังจากมีการถอนเงินสดครั้งแรกออกมาจากตู้ ATM โดยอัตราดอกเบี้ยจะพุ่งอยู่ที่ 25-28% นับว่าเยอะมากโดยดอกเบี้ยเท่าไหร่ เงินต้นก็จะคิดเท่านั้น ยิ่งกู้นานยิ่งมีดอกเบี้ยเยอะ หมายความว่าจะคิดตามวันจนกว่าเราจะคืนเลย และอาจเสียค่าธรรมเนียมการถอนอีกด้วย

ระยะเวลาในการคิดดอกเบี้ย
บัตรกดเงินสดจะคิดดอกเบี้ยตั้งแต่เวลาที่ถอนออกจนถึงวันที่จ่ายเลย

———————————————-

บัตรกดเงินสดเหมาะกับใคร ?
บัตรกดเงินสดเหมาะกับคนที่ต้องการเงินมาใช้จ่ายในเวลาเร่งด่วน หรือในช่วงเวลาสั้นๆ มาส่งเสริมสภาพคล่องทางการเงิน และต้องมีความรับผิดชอบในการจัดการเงินค่อนข้างดี 

วิธีการใช้บัตรเงินสดให้มีประสิทธิภาพ
ก่อนการใช้บัตรเงินสดควรวางแผนก่อนว่าพร้อมสำหรับการจะคืนเงินก้อนนี้หรือไม่? เพราะบัตรกดเงินสดควรเป็นแค่บัตรกดเงินที่ฉุกเฉินจริงๆ ต้องรู้กำลังเงิน และต้องรู้จักการยับยั้งชั่งใจ ดังนั้นทางที่ดีหลังจากการกดไปแล้งก็ควรชำระตามที่ครบกำหนด ชำระตามที่ยืมทันที

ข้อดี

  • ไม่ต้องมีเงินสำรอง สามารถกดเงินสดผ่านตู้ ATM ทั่วประเทศไทย หรือผ่านแอปพลิเคชัน (ปัจจุบันมีบางธนาคารที่เปิดให้บริการด้านแอปพลิเคชัน)

ข้อเสีย

  • ดอกเบี้ยเยอะมาก มีโอกาสที่จะเป็นหนี้หรือปัญหาทางการเงินได้ในอนาคต

 2  

บัตรเดบิตคืออะไร?

บัตรเดบิต หรือเรียกอีกอย่างว่าบัตร ATM เป็นบัตรที่หลายๆ คนน่าจะมีพกติดกันเป็นประจำทุกวัน ซึ่งบัตรใบนี้มีไว้สำหรับผูกบัญชีเงินฝากของผู้ใช้ หรือก็คือเป็นเงินที่เราฝากไว้กับธนาคารนั่นเอง ซึ่งบัตรใบนี้สามารถทำธุรกรรมทางการเงินได้หลากหลายเลย ไม่ว่าจะเป็นการกดเงินสดผ่านตู้เอทีเอ็ม  ใช้รูดซื้อสินค้าให้หักได้ทันที หรือจะโอนเงิน ชำระค่าต่างๆ ก็จะตัดเงินเท่าในบัญชีที่มีเลย

———————————————- 

การคิดดอกเบี้ยค่าบริการ
บัตรเดบิตจะไม่เสียดอกเบี้ย เพราะเป็นการใช้จ่ายของตัวเองโดยตรง จึงไม่ใช่สินเชื่อ ไม่ใช่การกู้เงิน แต่มีค่าธรรมเนียมบัตรต่ออายุรายปี ขึ้นอยู่กับแต่ละธนาคาร

ระยะเวลาในการคิดดอกเบี้ย

วงเงินของบัตรเดบิต
สำหรับวงเงินบัตรเดบิต คือจำนวนเงินสูงสุดของบัตร หรือก็คือเป็นวงเงินที่สามารถใช้ได้มากสุดกี่บาทต่อวัน ซึ่งก็จะมีหลายแบบเลย ไม่ว่าจะเป็นวงเงินทำรายการต่อวัน วงเงินรูดชำระ วงเงินถอนเงินสด ซึ่งไม่ว่าส่วนไหนนี้จะเป็นวงเงินบัตรของเราที่เราสามารถถอนออกมาได้ เช่น วงเงินสูงสุด 50,000 บาท ก็หมายความว่าเราสามารถใช้จ่ายเงินได้ไม่เกินจำนวนนี้ 

———————————————-

บัตรเดบิตเหมาะกับใคร ?
บัตรเดบิตเป็นบัตรสำหรับทำธุรกรรมทางการเงิน ที่เหมาะกับใช้ในชีวิตประจำวัน ตั้งแต่การกดเงิน ฝากเงิน โอนเงิน การชำระซื้อของต่างๆ ไปจนถึงการรูดบัตร

วิธีการใช้บัตรเดบิตให้มีประสิทธิภาพ
ควรเลือกบัตรเดบิตที่ตรงกับความต้องการและสถานะการเงิน เช่น บัตรที่มีค่าธรรมเนียมต่ำ, มีโปรโมชั่นหรือสิทธิประโยชน์ที่เหมาะสมตามการใช้งาน

ข้อดี

  • บัตรเดบิตเป็นบัตรที่เป็นเงินฝากของเราล้วนๆ จึงสามารถควบคุมเงินเองได้ง่าย

  • สามารถถอนเงินสดผ่านตู้ ATM ได้ทั่วประเทศไทย หรือผ่านแอปพลิเคชัน

  • ไม่เกิดหนี้ เพราะมีเท่าไหร่จ่ายเท่านั้น

  • ไม่มีดอกเบี้ย 

  • ไม่ต้องพกเงินสด

  • บางธนาคารไม่มีค่าธรรมเนียมการกดเงิน 

ข้อเสีย

  • เสียค่าธรรมเนียมรายปีบัตร

  • ไม่มีเงินสำรองจ่ายให้

  • บางร้านค้าไม่ค่อยรับบัตรเดบิต

 3  

บัตรเครดิตคืออะไร?

บัตรเครดิตเป็นบัตรสำหรับสมัครกู้สินเชื่อ โดยจะมีวงเงินสินเชื่อหมุนเวียน สามารถใช้บัตรเครดิตรูดซื้อสินค้า หรือเบิกเงินซื้อล่วงหน้าได้เลย ซึ่งสังเกตได้ตรงเครื่องหมายโลโก้บนบัตรที่จะระบุว่าเป็น VISA หรือ Mastercard 

สรุปก็คือเป็นบัตรที่สามารถนำเงินไปใช้ก่อน แล้วค่อยคืนเงินทีหลัง โดยจะเสียตามดอกเบี้ยเงื่อนไขตามที่ธนาคารกำหนด หากใช้จ่ายโดยไม่ระมัดระวัง หรือใช้เงินเกินตัว ไม่สามารถใช้เงินคืนตามที่กำหนดได้ อาจก่อให้เกิดหนี้นั่นเอง โดยดอกเบี้ยบัตรเครดิตจะอยู่ที่ 16% ต่อปีเลย

โดยข้อดีของบัตรเครดิตคือ ถ้าหมั่นคืนก็จะเกิดเป็นเครดิตให้กับตัวเรา เพื่อช่วยสร้างความน่าเชื่อถือ แถมได้แต้มสะสม ดังนั้นหากชำระตรงเวลา จ่ายครบ ก็จะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือ เมื่อผ่อนของชิ้นใหญ่ ก็จะได้รับการอนุมัติไวขึ้น แถมยังได้รับสิทธิพิเศษมากมายอีกด้วย 

———————————————-

การคิดดอกเบี้ยค่าบริการ
การคิดดอกเบี้ยจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเราชำระค่าสินค้าและบริการแบบไม่เต็มจำนวน โดยจะมีการคิดที่แบ่งเป็น 2 ส่วนหลักๆ ได้แก่

  1. ส่วนแรก : ดอกเบี้ยของ ‘ยอดใช้จ่ายทั้งหมด’ ตั้งแต่วันที่ใช้บัตร เงินใช้จ่ายแต่ละรายการ X อัตราดอกเบี้ยต่อปี X จำนวนวัน จากวันที่ทำรายการถึงวันที่สรุปยอดบัญชี / 365 วัน = ? 

  2. ส่วนที่สอง : ดอกเบี้ยของ ‘ยอดคงค้าง’ (ที่ยังไม่ได้จ่าย) เงินคงค้าง X อัตราดอกเบี้ยต่อปี X จำนวนวันจากวันที่ชำระคืนถึงวันที่สรุปยอดบัญชี / 365 = ?

เมื่อคำนวณสองส่วนเสร็จให้นำ ‘ดอกเบี้ยของยอดทั้งหมด’ + ‘ดอกเบี้ยของยอดที่ยังไม่ได้ชำระ’ = ดอกเบี้ยบัตรเครดิตที่จะต้องจ่าย หมายความเมื่อเราคำนวณแล้วจะได้เป็นยอดที่ต้องชำระหนี้ทั้งหมด

ระยะเวลาในการคิดดอกเบี้ย
สำหรับระยะเวลาในการคิดดอกเบี้ยของบัตรเครดิตจะสรุปยอดว่าเราใช้ไปเท่าไหร่ในทุกวันที่ 25 ของทุกเดือน ดังนั้นธนาคารจะมีการเรียกเก็บในอีก 2 สัปดาห์ **ระยะเวลาขึ้นอยู่กับธนาคาร 

บัตรเครดิตสามารถกดเงินสดได้ไหม?
บัตรเครดิตสามารถกดเงินสดได้  แต่เสียค่าธรรมเนียม 3% พร้อมกับ VAT 7% ดอกเบี้ยอีก 16% ดังนั้นถ้าไม่จำเป็นไม่ควรกดเงินสด 

วงเงินบัตรเครดิตคิดยังไง?
วงเงินบัตรเครดิตจะขึ้นอยู่กับรายได้ของเงินเดือน ประมาณ 1.5 หรือ 5 เท่าของเงินเดือน โดยข้อดีของการใช้บัตรทุกครั้ง จะสามารถได้คะแนนกลับมา ทำให้เราสามารถแลกรับสิทธิพิเศษได้ แถมผ่อนสินค้าราคาสูงได้ 0% 

———————————————-

บัตรเครดิตเหมาะกับใคร ?
บัตรเครดิตช่วยให้เราสามารถชำระเงินในร้านค้าที่รับบัตรเครดิตได้โดยตรงเลย ความง่ายของบัตรเครดิตคือทำให้เราไม่ต้องพกพาเงินสดตลอดเวลา และสามารถทำธุรกรรมการชำระเงินออนไลน์ หรือรูดบัตรซื้อของได้สะดวกและง่ายขึ้น

ข้อดี

  • เป็นบัตรที่จ่ายก่อน ไม่ต้องจ่ายด้วยตัวเองทันที เหมาะกับคนที่ต้องการผ่อนของชิ้นใหญ่ แต่เป็นบัตรที่เสียดอกเบี้ยถูกกว่าบัตรกดเงินสด

  • ทุกการใช้จ่าย มักมีคะแนนและสิทธิประโยชน์คอยรองรับเสมอ

  • สำหรับการซื้อสินค้าจะชำระเงินรวดเร็ว ทำรายการเสร็จไว

  • สามารถใช้ได้ทั่วโลก

ข้อเสีย

  • อาจทำให้เกิดความอยากได้มากขึ้น เมื่อรู้ว่ามีเงินรองรับอยู่

  • บางกรณีอาจทำให้เสียพฤติกรรม เพราะเมื่อเงินเดือนออกแล้ว อาจมีความรู้สึกที่ไม่ต้องการชำระหนี้ 

  • ดอกเบี้ยจะแพงมากหากถอนเงินสดด้วยบัตรเครดิต

  • ดอกเบี้ย ไม่ควรจ่ายชำระขั้นต่ำ ควรจ่ายเต็มจำนวนจะดีที่สุด

 4  

ความแตกต่างระหว่าง บัตรเดบิต (Debit) กับ บัตรเครดิต (Credit) กับ บัตรกดเงินสด

เราทราบถึงข้อมูลพื้นฐานของแต่ละบัตรไปแล้ว คราวนี้เรามาแบ่งกันดีกว่าว่าทั้งสามใบที่กล่าวไปทั้งหมด มันแตกต่างกันยังไงบ้างนะ?

บัตรเดบิต

  • มีไว้เพื่อใช้จ่ายตามเงินที่เรามี อิสระทางการเงินจะมากกว่า สามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้ง่าย
  • สบายใจปลอดภัยกว่า 
  • รูดซื้อสินค้าได้เลย  ตัดเงินทันทีไม่เสียดอกเบี้ยเพราะใช้เงินตัวเอง
  • ไม่มีดอกเบี้ย  

บัตรเครดิต

  • เป็นการกู้สินเชื่อใช้ก่อน ค่อยชำระทีหลัง
  • เสียดอกเบี้ยตามที่ธนาคารระบุไว้  หรือก็คือเอาเงินอนาคตมาใช้ก่อนแล้วจ่ายคืนทีหลัง  
  • เสียดอกเบี้ย 16% ต่อปี (ขี้นอยู่กับธนาคารนั้นๆ)

บัตรกดเงินสด

  • เป็นบัตรกู้เงินสด สำหรับใช้ในยามฉุกเฉิน 
  • ดอกเบี้ยจะคิดทันทีเมื่อมีการกดเงินสดครั้งแรกออกจากตู้ 
  • เสียดอกเบี้ย 25% – 28% ต่อปี (ขี้นอยู่กับธนาคารนั้นๆ)

สรุปแล้วใครที่กำลังคิดจะมีบัตรหนึ่งในสามใบนี้ หรือว่าต้องการจะมีทั้งหมดก็อาจจะต้องบริหารทางการเงินของเราให้ดีพร้อมก่อนที่จะมี เพราะบัตรเหล่านี้ก็เป็นเหมือนดาบสองคม โดยเฉพาะบัตรกดเงินสด และบัตรเครดิต สองใบนี้นับว่าเป็นบัตรที่ต้องกู้เงินจากธนาคารมาใช้ก่อน ดอกเบี้ยจึงเยอะมากๆ หากจำเป็นต้องซื้อของใช้เงินจริงๆ ก็อย่าลืมคำนวณเงินของตัวเองก่อนว่าพร้อมหรือยังที่จะใช้บัตรใบดังกล่าว เพราะงั้นแล้วก้อย่าลืมพิจารณาถึงความเหมาะสมของตัวเองด้วยน้า