ไหนใครกำลังมีความคิดที่จะทำบัตรเครดิต แต่ไม่รู้จะเริ่มยังไงบ้างงงง 🙋🏻‍♀️

หลายๆ คนอาจจะพอรู้ว่าการมีบัตรเครดิตก็เหมือนการลงทุนอย่างนึง ที่ทำให้เราอาจได้รับความสะดวกสบายกลับมา แต่ทั้งนี้ก็ต้องแลกกับความเสี่ยงที่ว่า หากบริหารไม่ดีพอ จากนานาประโยชน์ก็อาจกลายเป็นเป็นโทษ เกิดหนี้นานัปการได้ เพราะฉะนั้นการลงทุนมีความเสี่ยง เราจึงควรที่จะศึกษาให้ดีก่อนสมัครน้า

มาถึงตรงนี้แล้ว หากใครที่กำลังจะเปิดบัตรเครดิต แต่ยังลังเลว่า เอ แล้วเรารู้จักบัตรเครดิตดีพอรึยังนะ วันนี้พวกเรา LifeSara ก็ขอมาเปิด 13 ข้อ Checklist พื้นฐานที่เพื่อนๆ ควรรู้ก่อนทำบัตรเครดิตให้ดูกันเลยยย

 1

บัตรเครดิต = ตัวแทนของเงินสด

เพราะบัตรเครดิตสามารถเป็นตัวแทนของเงินสดให้กับเราได้ ทำให้เราไม่จำเป็นต้องพกเงินสดติดตัว มีแค่บัตรใบเดียวก็เอาอยู่ นอกจากนี้บัตรเครดิตยังใช้จ่ายเป็นเงินก้อนใหญ่ได้เลยน้า สะดวกสุดดด

 2  

บัตรเครดิตเลื่อนชำระจ่ายได้

เราสามารถเลื่อนการชำระเงินออกไปได้ เช่น กำหนดการของการชำระอาจอยู่ในวันที่ 2 แต่เราสามารถขอเลื่อนกำหนดการไปจนถึงวันที่ 7 ได้ (อันนี้แล้วแต่เงื่อนไขของแต่ละบัตรเครดิตด้วยนะ ว่าสามารถเลื่อนไปได้ถึงวันไหน) อันนี้ถือว่าดีมากๆ สำหรับคนที่หมุนเงินไม่ทัน หรือเกิดผิดแผนทางด้านการเงิน แต่ถ้าเลื่อนจ่ายชำระ จะเกิดข้อเสียมากกว่าข้อดี เพราะจะทำให้โดนคิดดอกเบี้ยสูงมาก เพราะฉะนั้นจึงไม่ควรเลื่อนชำระออกไปหากไม่จำเป็นจริงๆ น้าา

 3  

สิทธิพิเศษของแต่ละบัตรเครดิต

บัตรเครดิตหลายๆ อันจะมีให้สะสมแต้ม เพื่อเอาไปเป็นส่วนลดในสินค้า หรือบริการต่างๆ แล้วก็จะมีโปรโมชั่นหรือสิทธิพิเศษให้สำหรับคนที่ใช้บัตรเครดิตอันนั้นๆ เช่น การได้รับที่พักฟรี 1 คืน ถ้าใช้บัตรเครดิตของธนาคารนั้นๆ ในการจองโรงแรม

 4  

บัตรเครดิตมีดอกเบี้ย

การคิดค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม จะคำนวนจากสูตรตามนี้เลย

  • (ยอดใช้จ่ายบัตรเครดิต x อัตราดอกเบี้ยต่อปี x จำนวนวัน) / 365

การมีบัตรเครดิตจะถูกคิดดอกเบี้ยสูง หากเราไปชำระขั้นต่ำหรือชำระแบบไม่ตรงเวลา ใครไม่อยากถูกคิดดอกเบี้ยเพิ่ม อย่าลืมจ่ายให้ตรงเวลาและจ่ายแบบเต็มจำนวนน้า 

 5  

บัตรเครดิตมีค่าธรรมเนียมรายปี

โดยค่าธรรมเนียมรายปีก็คือ การจ่ายเงินจำนวนนึงในแต่ละปี เพื่อรักษาสิทธิประโยชน์ของบัตร ซึ่งเงื่อนไขหรือค่าธรรมเนียมต่างๆ จะเป็นไปตามที่ธนาคารกำหนดนั่นเอง ทั้งนี้เงื่อนไขของแต่ละธนาคาร ก็ไม่เหมือนกันนะ เช่น บางธนาคารอาจมีข้อกำหนดว่า ต้องใช้ยอดบัตรเครดิตขั้นต่ำ 60,000 ต่อปี ถึงจะได้ยกเว้นค่าธรรมเนียมรายปี เป็นต้น

ตรงนี้จึงอยากให้ทุกคนเช็คให้ดีก่อนว่า  ถ้าจะเลือกบัตรที่มีเงื่อนไขต้องใช้เงินจำนวนนึงต่อปี เราจะใช้จ่ายถึงยอดนั้นๆ ตามที่เขากำหนดไหม เพราะถ้าไม่ถึง ก็อาจจะต้องเสียค่าบัตรเครดิตรายปี (ซึ่งเฉลี่ยแล้วอยู่ที่ ประมาณ 2,000 บาทแล้วแต่ธนาคารนั่นเอง)

 6  

การวางแผนที่ไม่ดี อาจทำให้เป็นหนี้ได้ 

การชำระด้วยบัตรเครดิต คือการที่บัตรจ่ายเงินให้เราล่วงหน้าก่อน และเราก็มาจ่ายคืนธนาคารก้อนเดียว เหมือนเป็นเงินอนาคต ซึ่งเราต้องแพลนการเงินของเราให้ดีๆ เพราะถ้าเกิดอะไรผิดพลาด นั่นอาจหมายถึง เราอาจจะเป็นหนี้ได้ เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราควรที่จะมีเงินสำรองไว้ เผื่อเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น

 7  

ฟรีแลนช์ก็ทำบัตรเครดิตได้

คุณสมบัติของการทำบัตรเครดิต

  • ผู้สมัครบัตรเครดิต ต้องมีอายุระหว่าง 20-55 ปี
  • มีรายได้อย่างน้อย 15,000 หรือมากกว่าต่อเดือน
  • มีระยะเวลาการทำงานอย่างน้อย 6 เดือน (ถ้าเป็นเจ้าของกิจการ ต้องเป็นกิจการที่เปิดมาแล้วอย่างน้อย 1 ปี)
  • ไม่มีประวัติผิดนัดชำระหนี้
  • *เงื่อนไขที่กำหนดของบัตรเครดิตนั้นๆ อันนี้จะแล้วแต่ธนาคารของบัตรเครดิตนั้นๆ ว่าต้องการคุณสมบัติอะไรมากกว่านี้ไหม

เอกสารที่ควรมี เพื่อสมัครบัตรเครดิต
อันนี้จะแยกเป็นสองประเภท นั่นก็คือ มนุษย์เงินเดือนกับฟรีแลนซ์ 

1. มนุษย์เงินเดือน

  • สำเนาบัตรประชาชน
  • สำเนาทะเบียนบ้าน
  • สลิปเงินเดือน / หนังสือรับรองเงินเดือน
  • สำเนาบัญชีธนาคาร
  • statement ย้อนหลัง 6 เดือน

2. Freelance

  • สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน
  • รายการเดินบัญชีย้อนหลัง 6 เดือน พร้อมหน้าสมุดบัญชีที่ระบุชื่อ – เลขที่บัญชีของผู้สมัคร
  • สำเนาหนังสือรับรองการจดทะเบียนหรือทะเบียนการค้า (ถ้ามี)
  • เอกสารการรับเงินหรือสลิปเงินเดือน (ถ้ามี)
  • หนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย (ทวิ 50) แสดงรายได้ปีล่าสุด
 8  

Trick (ไม่) ลับ ใช้บัตรเครดิตแบบคนฉลาด

1. จำกัดวงเงินการใช้ต่อเดือนและต่อวัน
การจำกัดวงเงิน เช่น เรามีวงเงินสูงสุดอยู่ที่ 100,000 บาท ต่อเดือน แล้วเรากำหนดไว้ว่าเดือนนี้เราจะใช้จ่ายในบัตรเครดิต 60,000 บาท เท่ากับต่อวันเราควรใช้ไม่เกิน 2,000 บาท 

2. อย่าลืมเช็คความสามารถในการจ่าย
ที่สำคัญมากๆ เลย คือ เราควรที่จะเช็คความสามารถของเราที่จะจ่ายต่อเดือน เอารายได้มาคำนวนกับรายจ่าย และกำหนดยอดใช้จ่ายที่จะใช้เครดิตในการชำระ เพื่อจะไม่ให้เกินรายได้ที่เรามี อันนี้สำคัญมากๆ เราห้ามใช้จ่ายเกินรายได้ที่เรามีนะ เพราะมันอาจต่อเกิดหนี้ขึ้นมาได้

3. จ่ายค่าบัตรเครดิตให้ตรงตามเวลาที่กำหนด
เราควรชำระบัตรเครดิตให้ตรงตามเวลาที่กำหนด และชำระบัตรแบบเต็มจำนวน ไม่ชำระขั้นต่ำ ทั้งนี้ก็เพื่อหลีกเลี่ยงดอกเบี้ยนั่นเอง การจ่ายชำระยอดบัตรให้ตรงเวลาก็เหมือนการรักษาเครดิตของเรา เพราะถ้าจ่ายไม่ตรงเวลาอาจทำให้เราเสียเครดิต หรือความน่าเชื่อถือได้ ซึ่งจะส่งผลในอนาคตเวลาจะธุรกรรมการเงินต่างๆ และถ้าชำระไม่ตรงเวลาหรือชำระขั้นต่ำ จะทำให้เสียดอกเบี้ยสูงมากๆ ทำให้อาจเกิดภาระหนี้สินที่ต้องใช้คืนนานกว่าเดิม

4. การจำรอบบิลของการชำระบัตรเครดิตเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ
จากข้อเมื่อกี้คือ ถ้าเราจ่ายช้า มันจะทำให้เราเสียเครดิตและอาจโดนปรับเพิ่มเติมด้วย เพื่อป้องกันสิ่งแบบนั้นให้เกิดขึ้น เราควรที่จะจำรอบบิลการชำระเงินของเราให้ได้ ยิ่งโน้ตไว้ในปฏิทินได้เลยยิ่งดี!

5. การเลือกบัตรที่เหมาะสม, การสะสมแต้ม หรือใช้สิทธิพิเศษที่บัตรเครดิตมีให้ 
การเลือกบัตรเครดิตที่มีสิทธิประโยชน์ตรงกับการใช้ชีวิต หรือ ไลฟ์สไตล์ของเรา เป็นอะไรที่สำคัญมากๆ เพราะถ้าเราใช้บัตรนี้บ่อยๆ แล้วมันตรงกับการใช้จ่ายของเรา เราก็จะได้รับแต้มกับสิทธิประโยชน์ที่คุ้มค่ามากขึ้น บัตรเครดิตต่างๆ จะมีสิทธิพิเศษให้กับผู้สมัครบัตรเครดิต เช่นพวกส่วนลด หรือแลกของต่างๆ เพราะฉะนั้นการใช้สิทธิพิเศษให้คุ้ม ก็จะส่งผลดีต่อเรา และจะทำให้เราประหยัดได้ในหลายๆทาง ยังไงก็อยากให้ทุกคนลองไปเช็คสิทธิพิเศษของบัตรตัวเองกันดูน้าาา  

 9  

รู้จักวงเงินเพื่อที่จะไม่ใช้เกินตัว

บางคนอาจจะสงสัยว่าวงเงินบัตรเครดิตนั้น เขาพิจารณาจากอะไร?

ก่อนอื่นเลย วงเงินจากบัตรเครดิตคือ จำนวนเงินสูงสุดที่ทางธนาคารของบัตรเครดิตนั้นๆ จะอนุมัติให้เจ้าของบัตรใช้ในการชำระเงินจากบัตรเครดิตได้ ซึ่งแต่ละบัตรก็จะมีวงเงินบัตรเครดิตที่แตกต่างกันไปในแต่ละคน ทั้งนี้ธนาคารจะพิจารณาวงเงินจากรายได้หรือเงินเดือนของผู้สมัครบัตร โดยเริ่มต้นที่ 1.5 เท่า สูงสุด 5 เท่าของรายได้ ทั้งนี้วงเงินสามารถเพิ่มได้ โดยจะพิจารณาจากการชำระยอดอย่างสม่ำเสมอและตรงต่อเวลา

 10  

ใครที่ควรมีบัตรและใครที่ไม่ควรมี?

ควรมีบัตรเครดิต:

  • คนที่ไม่ชอบพกเงินสด
    เพราะบัตรเครดิตจะใช้จ่ายแทนเงินสดจำนวนมากได้ โดยที่ได้รับการยอมรับในหลายๆ ที่ ทำให้บัตรเครดิตเหมาะกะคนที่ไม่ชอบพกเงินสดมากๆ
  • วางแผนการเงินดี
    อย่างที่บอกว่า การป้องกันไม่ให้เป็นหนี้จากบัตรเครดิตถือเป็นการบริหารจัดการเงินที่ดีที่สุด เพราะฉะนั้น บัตรเครดิตจะเหมาะสำหรับคนที่สามารถบริหาร หรือ วางแผนการเงินได้ดี
  • มีรายรับ รายจ่ายที่มั่นคง
    การวางแผนเงินที่ดีนั้น มักจะมาจากการมีรายรับ รายจ่ายที่มั่นคง เพราะเราจะได้รู้ว่าในแต่ละเดือน ควรจะจัดการเงินยังไง เพื่อไม่ให้เป็นหนี้

ไม่ควรมีบัตรเครดิต:

  • รายรับ รายจ่ายไม่มั่นคง
    เนื่องจากการสมัครบัตรเครดิตจะมีรายจ่ายยิบย่อยที่มากขึ้น เช่น ดอกเบี้ยหรือค่าธรรมเนียมบัตรรายปี ดังนั้นเราจึงต้องวางแพลนการเงินที่มั่นคงไว้ตลอด จึงอาจไม่เหมาะสำหรับคนที่รายรับ รายจ่ายไม่คงที่น้าา
  • มีหนี้อยู่แล้ว
    การมีบัตรเครดิตก็เหมือนการเพิ่มหนี้ ถ้าเราไม่สามารถจ่ายเงินได้ตรงเวลา เราก็จะมีหนี้เพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้นถ้ามีหนี้อยู่แล้ว ก็ไม่แนะนำให้เพิ่มหนี้ให้ตัวเองน้าา
  • มีเงินเก็บไม่เยอะ
    ในการใช้บัตรเครดิต เราจะต้องจ่ายให้ตรงเวลา เพราะฉะนั้น ถ้าเกิดอะไรฉุกเฉินขึ้นมา อาจทำให้หมุนเงินไม่ทัน ก็จะต้องนำเงินเก็บออกมาจ่ายก่อน 

บอกเลยว่าถ้าไม่มีวินัยหรือบริหารเงินไม่ดี เราอาจจะเหมาะกับการใช้แค่เงินสด ใช้จ่ายเท่าที่จำเป็น ไม่รูดไปเรื่อย หรือรูดเกินความจำเป็นนั่นเอง และยังไงหากใครจะเปิดบัตรเครดิต ก็อย่าลืมศึกษาจุดประสงค์ในการเปิดบัตรเครดิตให้ถี่ถ้วน เพื่อจะได้ใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ไม่ว่าจะเอาไว้เพื่อใช้สำรองฉุกเฉิน สะสมแต้ม หรือแลกส่วนลดก็ตาม!

 11  

ก่อนทำบัตร ต้องรู้จักวันตัดรอบบิล?

วันตัดรอบบิลของธนาคารจะเป็นวันที่ธนาคารกำหนดให้ (ซึ่งไม่ใช่ทุกๆ สิ้นเดือนนะ) ดังนั้นทุกคนควรจำดีๆ เช่น ธนาคารอนุมัติบัตรในวันที่ 11 มีนาคม แสดงว่าวันตัดรอบบิลต่อไปก็จะเป็นวันที่ 11 เมษายน 

และ 15 วันหลังจากวันตัดรอบบิล ก็จะเป็นวันที่ครบกำหนดชำระ เช่น ถ้าวันตัดรอบบิลอยู่ในวันที่ 11 ของเดือน วันครบกำหนดชำระจะอยู่ที่ วันที่ 26 ของทุกเดือนนั่นเอง แปลว่าเราควรจะจ่ายค่าบิลบัตรเครดิตภายในวันที่ 26 ของทุกเดือน (ยกเว้นว่าถ้าวันครบกำหนดชำระตรงกับวันเสาร์, วันอาทิตย์หรือวันหยุดนักขัตฤกษ์ – วันครบกำหนดชำระจะเป็นวันทำการถัดไป) แต่จริงๆ แล้วเราควรจ่ายทันทีหลังตัดรอบบิลน้าา เผื่อใครลืมงี้ จะได้ไม่โดนปรับ!

—————————————–

** หมายเหตุ **

1. การจ่ายรอบบิลช้า
การจ่ายรอบบิลล่าช้า จะมีดอกเบี้ยค่าปรับ โดยจะบวกเพิ่มอยู่ที่ 1% ถึง 3% ขึ้นอยู่กับเวลาที่ค้างชำระ

2. การใช้จ่ายที่จะไม่เสียดอกเบี้ย ถ้าจ่ายไม่ตรงตามกำหนด ดอกเบี้ยจะถูกนับตั้งแต่วันที่รูดของเดือนนั้น แต่ถ้าจ่ายเต็มจำนวนและตรงเวลาก็จะไม่เสียดอกเบี้ย

3. หลีกเลี่ยงการจ่ายขั้นต่ำ เลี่ยงได้เลี่ยง!
เพราะว่าการจ่ายขั้นต่ำ เราจะโดนคิดดอกเบี้ย 2 ยอดนั่นเอง เช่น สมมติว่า เรามียอดค้างชำระอยู่ที่ 10,000 บาท และเราจ่ายขั้นต่ำอยู่ที่ 1,000 บาท แสดงว่าเราก็จะเหลือเงินค้างชำระอยู่ที่ 9,000 บาท

  • ซึ่งยอดแรกที่เราจะจ่าย ธนาคารก็จะคิดค่าดอกเบี้ยจากยอดทั้งหมดนั่นก็คือ 10,000 บาท
  • และธนาคารจะคิดยอดที่สองจากดอกเบี้ยของยอดที่เหลือ นั่นก็คือ 9,000 บาท จนกว่าจะถึงวันตัดรอบบิลต่อไป

เพราะฉะนั้น ถ้าจ่ายขั้นต่ำเรื่อยๆ เราก็จะยิ่งเป็นหนี้มากกว่าที่เราใช้ เพราะดอกเบี้ยที่ทับสะสมต่อไปเรื่อยๆ นั่นเอง

 12  

อย่าลืมเช็กรายละเอียดบัตรอย่างถี่ถ้วนก่อนจะเปิดบัตร

ในการทำบัตรเครดิต เราจะต้องอ่านเอกสารและเซ็นยินยอมกับทางธนาคาร ซึ่งในแต่ละเอกสารก็จะมีเนื้อหาที่ไม่เหมือนกัน ดังนั้นจึงควรอ่านทำความเข้าใจ และดูรายละเอียดให้ดีๆ ก่อนเซ็นน้าาา หลายๆ คนอาจยังไม่รู้ว่า ในขั้นตอนการเซ็นเวลาทำบัตรเครดิตครั้งแรก เราจะได้สิทธิคุ้มครองจากธนาคารทันที หรือเรียกอีกแบบว่าสิทธิคุ้มครองผู้ถือบัตรนั่นเอง เพื่อไม่ให้เราโดนเอาเปรียบจากธนาคาร เผื่อเวลาที่ถ้ามีปัญหาอะไร เราจะได้รู้ทันนั่นเอง 

ยกตัวอย่างสิทธิก็เช่น สิทธิที่จะได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง อันนี้คือสิทธิที่ผู้สมัครบัตรเครดิตจะได้รับข้อทูลทุกอย่าง อย่างถูกต้องและครบถ้วน ซึ่งจะมีพวกอัตราดอกเบี้ย ค่าธรรมเนียม หรือเงื่อนไขต่างๆ ที่ผู้สมัครต้องรู้ และอีกตัวอย่างก็คือ สิทธิที่จะใช้บริการได้อย่างอิสระ หรือก็คือการที่ลูกค้าอย่างเรา จะมีอิสระในการเลือกใช้บริการบัตร เช่น เลือกที่จะทำบัตรประเภทไหน หรือไม่ทำบัตรใด ๆ ก็ได้ และก็ไม่จำเป็นที่จะต้องซื้ออะไรเพิ่มเติม อย่างพวกประกันชีวิตของธนาคารนั้นๆ ถ้าเราไม่ต้องการ

 13  

เลือกสิทธิประโยชน์ที่ตรงกับ lifestyle ของตัวเอง

ในสมัยนี้ บัตรเครดิตมีหลายแบบมากๆ และแต่ละแบบก็จะเหมาะกับคนแต่ละประเภท แต่ละไลฟ์สไตล์ การใช้ชีวิตที่ไม่เหมือนกัน เช่นสำหรับคนที่ชอบไปเที่ยวต่างประเทศบ่อยๆ ก็จะเหมาะกับบัตรที่มีค่าธรรมเนียมที่ไม่แพงเท่าบัตรอื่นๆ เวลาไปรูดที่ต่างประเทศ​ ก็จะเหมาะกับบัตร เช่น KTC VISA SIGNATURE, KTC PLATINUM MASTERCARD, KTC JCB PLATINUM

หรือว่าถ้าใครที่ชอบสะสมไมล์ตั๋วเครื่องบิน ก็จะมีบัตรเครดิตที่เอาคะแนนจากการรูด ไปแลกเป็นไมล์ของสายการบินนั้นๆ ได้ เช่น AMEX Thai airways จะเอาคะแนนมาแลกกับไมล์ของสายการบินไทยได้ นอกจากนี้หลายๆ บัตรเครดิตก็จะมีสิทธิพิเศษหลายๆ อย่าง เช่น ได้ที่จอดรถในห้างดัง หรือพวก cashback อะไรแบบนี้ เป็นต้น ดังนั้นจึงอยากให้ทุกคนลองศึกษาแต่ละบัตรเครดิต และเลือกอันที่เหมาะไลฟ์สไตล์ตัวเองให้ดีที่สุดก่อนนั่นเอง