แต่ละประเทศย่อมมีความเป็นมาของแต่ละท้องที่แตกต่างกัน ซึ่งไม่ต่างกับประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเมื่อไหร่ที่เราคิดถึงประเทศนี้ กลิ่นอายวัฒนธรรมต่างๆ จะปลิวเข้ามาในหัวจนกลายเป็นภาพจำของญี่ปุ่นไปแล้ว ซึ่งเมือง Toyama ก็เป็นหนึ่งในเมืองที่ว่านั้น ด้วยความที่เป็นเมืองที่มีเสน่ห์มากๆ จนใครมาญี่ปุ่นจะพลาดไม่ได้ที่จะไม่มาที่แห่งนี้ เพราะเมืองนี้ขึ้นชื่อว่าเป็นเหมือนกับประตูสู่เทือกเขาที่มีความสวยงาม ยิ่งใหญ่ สายปีนเขาบอกเลยว่าพลาดไม่ได้เลยยย
สำหรับใครที่กำลังทำแพลนมาเที่ยวญี่ปุ่น แต่ยังไม่มีที่ในใจในการปักหมุดเอาไว้ พวกเรา Lifesara ก็ขอพาเพื่อนๆ ทุกคน มาส่องแพลนที่เที่ยวของเราที่ Toyama กันได้ว่าจะมีอะไรน่าสนใจแก่การเดินทางไปบ้าง (หรือถ้าใครอยากอ่านแพลนเที่ยว EP.1 เก็บองุ่นมัสแคตสดๆ จากไร่ที่ Nagano หรือ EP.3 พาขึ้นกระเช้าลอยฟ้าพาชมวิวสวยๆ แห่งเมือง Gifu ก็ได้เหมือนกัน) ทั้งนี้ทั้งนั้นอย่ารอช้า รีบไปอ่านกันเลยยย
1
ทำความรู้จัก Toyama เมืองแห่งประวัติศาสตร์
หนึ่งในมรดกโลกทางวัฒนธรรมที่เรียบง่ายแต่สวยงาม
ต้องบอกก่อนว่า ก่อนหน้านี้เราได้ไปนากาโนะมาใน Ep.1 คราวนี้ที่เราจะพาไปเที่ยวกันต่อก็คือจังหวัด Toyama ซึ่งอยู่ติดกันเลยกับ Nagano เลย โดยจังหวัดนี้ตั้งอยู่กึ่งกลางของเกาะญี่ปุ่นเลย ถ้าดูจากแผนที่ในมุมสูงของเกาะญี่ปุ่น จะเห็นว่าเมืองนี้อยู่ห่างกับโตเกียวและโอซาก้าพอๆ กัน
แพลนโดยคร่าวสำหรับใครที่อยากเห็นภาพกว้างก่อนตัดสินใจไป Toyama
– แวะ Saikoji Temple ที่เป็นทางผ่านระหว่างทางไป Zenko-ji Temple
– ชิมปังเมล่อนหอมๆ จากร้าน Arteria Bakery
– เยี่ยมชมวัดชื่อดัง Zenko-ji Temple และแวบทานขนมจากร้านตรงถนนคนเดินหน้าวัด Zenko-ji
———
– มุ่งหน้าสู่หุบเขา Gokayama หมู่บ้าน Ainokura Gassho-zukuri ที่ได้รับการจัดอันดับให้เป็น World Heritage Site และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมจากยูเนสโก้
– ทานโซบะ ของดีขึ้นชื่อประจำหมู่บ้าน ร้าน Matsuya
– เรียนทำกระดาษ “วาชิ (和紙)” ซึ่งผลิตด้วยกรรมวิธีที่มีเอกลักษณ์เฉพาะของญี่ปุ่น
———
– ชมศิลปะการแสดงบทเพลงพื้นบ้านโบราณ
– ชมพิพิธภัณฑ์ที่เล่าเกี่ยวกับอุตสาหกรรมหม่อนไหม ชั้นสองของ เกสต์เฮาส์ Yusuke
– นอนค้างที่ Yusuke ในห้องนอนสไตล์ญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม
ต้องบอกว่า Toyama เป็นจังหวัดที่สวยงามของประเทศญี่ปุ่น แต่คนไทยส่วนมากไม่ค่อยรู้จักมากนัก แต่ถ้าได้รู้จักแล้วก็จะรู้เลยว่า เมืองนี้มีสถานที่ท่องเที่ยวที่ทำให้เราได้สัมผัสกับวัฒนธรรมพื้นเมืองที่สวยงามและประวัติศาสตร์ได้หลายแห่งมากๆ เที่ยวแล้วจะรู้สึกอิ่มเอมในตำนานญี่ปุ่น ซึ่งสำหรับใครที่กำลังลังเลใจว่าจะแวะมาเมืองนี้ดีรึเปล่า เราอยากให้คอนเทนต์นี้เป็นอีกส่วนหนึ่งที่ช่วยในการตัดสินใจของเพื่อนได้คำตอบเพิ่มขึ้นนะ~
2
แวะไหว้พระขอพรที่ Saikoji Temple และ Zenko-ji Temple
เริ่มที่นี่เลยกับ Nagano ช่วงเช้า แบบยังมีเวลาเหลือก่อนขึ้น Shinkanzen ไปอีกจังหวัด ซึ่งเราก็ได้แอบแวะมาวัด Saikoji ซึ่งเป็นวัดที่ขนาดไม่ใหญ่มากสำหรับคนในพื้นที่ แต่ถือเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่ควรค่าแก่การมาสักการะ ปกติก็คือจะมีคนเข้ามาขอพรอยู่เรื่อยๆ ซึ่งช่วงเช้าที่เราเข้าไป คนจะยังไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ ค่อนข้างไพรเวตเลยทีเดียว
ถ้าใครอยากได้มุมถ่ายรูปแจ่มๆ บอกเลยว่า ตั้งแต่ทางเดินประตูหน้าสุดไล่ผ่านไปจนถึงส่วนในของตัววัด มีจุดให้ถ่ายรูปเยอะมากกก
จะบอกว่าอีกด้านของวัดเป็นมุม walking street ด้วยนะ แต่รอบที่เราคือช่วงเช้าตรู่ คนจึงยังไม่เยอะ ทัวร์ยังไม่ได้มาลง โดยหน้าวัดเขาจะเริ่มเปิดกันประมาณ 9 โมงเช้า ถ้าอยากมาแบบไม่วุ่นวายมากๆ ก็แนะนำมาว่าช่วงเช้าดีกว่านะ เพราะคนโล่งจริงๆ
อีกมุมนึงที่เราเห็นคนญี่ปุ่นเขาทำกันเยอะมากๆ คือ การไปไหว้พระแบบจุดธูป ซึ่งส่วนนี้เขาจะมีกองธูปไว้ให้ โดยที่เราเอาเงิน 100 เยน ไปหยอดไว้ เพื่อเอาธูปมาจุดที่ฐานไฟอีกรอบนึง ก่อนที่เราจะเอาไปใส่ในกระถางข้างหน้าอีกที
แอบสังเกตว่าคนส่วนมากเอาควันควักๆ เข้าตัวด้วย อันนี้ไม่แน่ใจว่าเป็นธรรมเนียมหรือเป็นวิธีการของเขารึเปล่านะ? แต่น่าจะเป็นการอาบควัน ที่เป็นธรรมเนียมหรือความเชื่อของคนญี่ปุ่นกัน
อีกความชอบที่พลาดไม่ได้นั่นคือ การซื้อเครื่องราง~! โดยร้านจะอยู่ทางฝั่งขวามือ ซึ่งจะเป็นร้านที่ รวมมิตรเครื่องรางจริงๆ ตั้งแต่ช่วยเรื่องสุขภาพ การเรียน การสอบเข้า การงาน การเงิน การทำงาน เรื่องประสบความสำเร็จ แต่ละอันเจาะแต่ละเรื่องเลยได้แบบตรงจุดเลย
แน่นอนว่ามีภาษาอังกฤษเขียนอยู่ด้วย เลือกช้อปได้ไม่ยากเลย ราคาเครื่องรางจะเริ่มต้นประมาณ 500 ไปจะถึงหลัก 1,200 เยนเลย พอจบภารกิจ ช่วง 9 โมงจะเป็นช่วงที่วัดเริ่มเปิดแล้ว ซึ่งถ้าเราเข้าไปไหว้พระเสร็จแล้วก็สามารถเดินออกมาเอ็นจอยขนมและอาหาร ตรงถนนนเดินหน้าวัดได้เลย
เรามีลองซื้อพุดดิ้งชาเขียว 1 กระปุก รสชาติอุมามิกำลังดีเลย แบบฟินเฟ่อออ~
3
มุ่งหน้าสู่หมู่บ้าน Ainokura Gassho-zukuri
หนึ่งใน World Heritage Site ที่ควรค่าแก่การมา
พักจากความอร่อยและมามุ่งหน้าสู่ หมู่บ้าน Ainokura Gassho-zukuri ที่อยู่กลางหุบเขา Gokayama เป็นหนึ่งในเมืองที่ได้รับการจัดอันดับให้เป็น World Heritage Site โดยหมู่บ้านนี้จะอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของ Toyama และเป็นหมู่บ้านที่ติดท้อปของสถานที่ ที่หิมะตกตกหนักที่สุดในญี่ปุ่น (ถ้าเราไปช่วงนั้นจะเห็นเลยว่าหิมะสูงขึ้นไปเกินตัวบ้าน และจะเป็นภาพที่สวยมากๆ)
ก่อนเราจะเข้าหมู่บ้าน พวกเราก็ขอมาแชร์ทริคการเดินทางให้ทุกคน ซึ่งจะมีให้เลือก 2 แบบด้วยกัน
1) การขับรถขึ้นไปเอง
ให้นั่ง Shinkanzen จาก Nagano ไปลง Toyama แล้วก็หาที่เช่ารถจากตรงนั้นเอา เพื่อขับขึ้นไปที่หมู่บ้านเลย ซึ่งถ้าใครกังวลเรื่องการขับรถขึ้นเขา ต้องบอกว่าที่นี่ขับไม่ได้ยากมาก เพราะทางค่อนข้างดี ไม่มีทางแบบขรุขระเลย แล้วอาจจะสะดวกกว่าในการเดินทางด้วย เพราะหากอยากจะออกเดินทางไปไหนต่อจะง่ายกว่า เนื่องจากหมูบ้านจะไม่ได้มีรถโดยสารเข้ามาบ่อยนัก
2) การนั่งรถโดยสาร
2.1 Nagano to Shintakaoka
- นั่ง JR Shinkanzen อันนี้ก็นั่งมาลงตรงที่ Shintakaoka Station เลย ค่าใช้จ่ายโดยรวม Shinkanzen ด้วยแล้วคือ 7,370 เยน
2.2 Toyama to Gokayama
- จากนั้นเมื่อถึง Toyama แล้ว ให้เราเดินออกมาซื้อตั๋วอีกรอบนึง ซึ่งอันนี้จะเป็นรถไฟของ JR Johana line เพื่อไปลงสถานี Miza
- หลังจากที่ไปถึงให้เรานั่งรถบัสต่อไปยัง Miza station เพื่อไปลง Miza และเมื่อถึงแล้วให้เดินออกมา เพื่อไปยังหมู่บ้าน Gokayama ที่เป็นจุดหมายของเรานั่นเอง
ภาพวิวทิวทัศน์ที่เห็นเมื่อมาถึงที่หมู่บ้าน บอกเลยว่าสวยสะกดสายตามาก สายถ่ายรูปจะต้องชอบ เพราะที่นี่จะมีจุดถ่ายรูปสวยๆ เยอะมากๆ หนึ่งในจุดที่ไม่ว่าใครก็ห้ามพลาดคือจุดชมวิวทั้งหมูบ้าน ซึ่งจะเป็นโลเคชั่นที่ให้เราเดินขึ้นเขาไปหน่อยนึงแล้วเราจะได้ภาพจากมุมสูงที่เห็นหมู่บ้านทั้งหมู่บ้านเลย
ซึ่งจะมีบ้านไร่กัสโชซูคุริเกือบ 20 หลัง หลังคาบ้านจากภายนอกจะได้รับออกแบบให้ไปในทิศทางเดียวกัน และมีการบูรณะอยู่อย่างสม่ำเสมอ เพื่ออนุรักษ์ให้คงความดั้งเดิมเอาไว้ให้มากที่สุดนั่นเอง นี่ยิ่งทำให้พวกเรารู้สึกได้ถึงวิถีชีวิตมากขึ้นไปอีกเลย
จุดที่น่าสนใจคือ ถึงแม้ว่าหมู่บ้านนี้จะได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมจากยูเนสโก้ ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านแต่เดิม ก็ยังคงอาศัยอยู่ตามเดิมไม่ได้ย้ายออกไปไหน ซึ่งต้องบอกว่าเป็นอะไรที่หายากมากๆ เพราะงั้นเราจะได้เห็นวิถีชีวิตของคนที่นี่ไปด้วยเลย
เสน่ห์อีกอย่างของที่นี่คือ แอบชอบที่ทุกคนอุดหนุนซึ่งกันและกัน แล้วก็ช่วยสนับสนุนกิจการของเพื่อนบ้านกันเอง อย่างเช่น บ้านพักที่เรามาพักในคืนนี้ ก็รับกระดาษจากร้านที่สอนทำกระดาษวาชิมาวางขาย ให้ผู้เข้าพักได้เลือกซื้อกลับไปเป็นของฝาก เป็นหมู่บ้านที่นับว่าเต็มไปด้วยความอบอุ่นเลย
4
รับประทานโซบะชื่อดังประจำหมู่บ้านที่ร้าน Matsuya
ชมวิวจนพอใจ พอเที่ยงเราก็แวะมาทานอาหารกลางวันในหมู่บ้าน ซึ่งที่นี่จะดังในเมนูโซบะและเทมปุระ
โดยภายในร้านจะตกแต่งสไตล์แอบโรงเตี๊ยมเบาๆ ซึ่งน่ารักโซคิ้วมากๆ ให้ฟีลเหมือนอยู่ในซีรีย์ญี่ปุ่นเลย นอกจากนี้ ภายในร้านยังมีความชิลมากๆ เพราะเปิดโล่งให้เห็นวิวแบบเต็มๆ ดีต่อใจ หรือถ้าใครอยากได้ที่นั่งข้างในร้านแบบอุ่นๆ ก็สามารถเข้าไปนั่งทาน และชมวิวจากหน้าต่างในร้านอีกทีได้เช่นกัน
มาที่อาหารจานเด็ดของที่นี่บ้าง ซึ่งโซบะจะมีให้เลือก 2 แบบ คือแบบแห้งที่เขาจะเสิร์ฟพร้อมน้ำซอสที่เอาไว้จุ่มเส้น และแบบที่เป็นโซบะน้ำมาเลย โดยตัวเทมปุระเค้าใช้วัตถุดิบหลากหลายมากๆ ในการเอามาทอด ส่วนตัวชอบที่เป็นรากบัวเทมปุระ ดีสุดๆ
ทานเสร็จพึ่งสังเกตว่าภายในร้านจะมีร้านขายของฝากไปในตัวเลย ระหว่างรอโซบะ เราสามารถเดินช้อปปิ้งไปพลางๆ ได้เลยยย
สำหรับใครที่สนใจเรียนจะมีค่าใช้จ่ายต่อคนประมาณ 700 เยน พอบอกคุณลุงว่ามาเรียนทำกระดาษวาชิ คุณลุงก็ไม่รอช้า เตรียมผ้าและร่อนตัวเยื่อกระดาษเพื่อที่จะนำมาปูเป็นแผ่นบางชั้นแรกนั่นเอง
5
เรียนทำกระดาษ “วาชิ (和紙)” ซึ่งมีกรรมวิธีและเอกลักษณ์เฉพาะของญี่ปุ่น
จบจากมื้อกลางวันเราแล้ว ทีนี้เราจะแวะไปเรียนทำกระดาษกับคุณลุงในหมู่บ้านกันดีกว่า
ถ้าเพื่อนๆ เดินเข้ามาในตัวหมู่บ้าน เราจะเห็นป้ายบอกทางที่พาเราไปยังบ้านที่เปิดสอนทำกระดาษ อาจจะต้องสังเกตดีๆ หน่อยนะ เพราะป้ายแอบเล็ก แต่ร้านนี้จะอยู่ในหลืบหน่อยนึง เป็นร้านที่อบอวลไปด้วยความอบอุ่น
จากนั้นจะเข้าสู่ขั้นตอนการทำ “ลายของกระดาษจากใบไม้” ซึ่งก็คือการนำใบไม้แห้งสวยๆ มาวางลงบนกระดาษให้เกิดลวดลายที่สวยงามก่อนจะวางเยื่อกระดาษทับเป็นครั้งสุดท้าย เป็นหนึ่งในขั้นตอนที่ชอบมากๆ เลย
หลังจากนั้นคุณลุงจะช่วยเรารีดน้ำออกจากตัวกระดาษ ก็จะเป็นอันเสร็จขั้นตอน กลายเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงไปเลย อิอิ
ในร้านไม่ได้มีแค่สอนนะ แต่ที่ร้านยังเต็มไปด้วยสินค้าของฝากที่ทำมาจากกระดาษวาชิด้วย บอกเลยว่าแต่ละชิ้นลุงเก่งมาก คือทุกอย่างต้องมีติดตัวสักชิ้นจริงๆ ใครที่มาบอกเลยว่าน่าซื้อกลับไปเป็นของฝากให้ใครสักคนจริงๆ
6
ชมศิลปะการแสดงบทเพลงพื้นบ้านโบราณ
จบจากกระดาษวาชิ ช่วงบ่ายเรามีนัดไปดูศิลปะการแสดงบทเพลงพื้นบ้านโบราณ ซึ่งเป็นจุดที่ทำให้เราได้เปิดหูเปิดตากับคนสมัยก่อนมากๆ ไม่น่าเชื่อว่าพวกเขาจะคิดเครื่องดนตรี Sasara นี้ขึ้นมา เก่งมากกกๆ
โดยตัวเครื่องดนตรีจะเป็นทรงกลมเสี้ยว ทำจากไม้เล็กๆ 108 ชิ้นมาร้อยรวมกัน การสะบัดหนึ่งครั้งจะทำให้เกิดเสียงกระทบกันของไม้ ซึ่งตลอดการเต้น ก็จะใช้ตัว Sasara สะบัดตามจังหวะไปด้วย บอกเลยว่าอึ้งจริง
หลังจากดูการแสดงเสร็จ เราวกกลับมาที่หมู่บ้านอีกครั้งเพื่อเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ ซึ่งอยู่บนชั้น 2 ของที่พักที่เรานอนคืนนี้กันต่อเลยยย
ภายด้านในจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับอุตสาหกรรมหม่อนไหม ไปจนถึงการสร้างบ้านสไตล์ไร่กัสโชซูคุริ เป็นพิพิธภัณฑ์ที่เปิดโลกเราเลยจริงๆ
7
ปิดท้ายด้วยห้องพักแบบญี่ปุ่นดั้งเดิมกับ Guest House Yusuke
มาปิดท้ายที่พักกันเลย เพื่อนๆ สงสัยใช่ไหมว่าเรานอนที่ไหนกัน ซึ่งเราได้มีโอกาสมานอนที่ Guest House Yusuke นั่นเองงงง
ภายในของเกสต์เฮาส์จะมีเตาต้มกาน้ำชา Hojicha ที่ให้แขกที่มาพักสามารถตักซดเอาเองได้เลยตามอัธยาศัย ยิ่งอากาศหนาวๆ ยิ่งฟินบอกเลย
ยังไม่พอแค่นั้น เพราะคุณลุงคุณป้าจะต้อนรับแขกด้วยเครื่องดื่ม Matcha ร้านเสิร์ฟพร้อมคุกกี้พิมลายตัวบ้านใน Ainokura Gassho-zukuri ซึ่งแอบทำให้เรารู้สึกถึงความเอาใจใส่มากๆ เลย
สำหรับข้าวเย็นของที่นี่จะจัดมาเป็น Set ซึ่งเป็นมื้อสุดท้ายของวันนี้ เราสามารถสั่งน้ำได้ตามที่ต้องการ (ที่ไม่ใช่น้ำชาที่แขวนอยู่กลางห้องนั่งเล่นมาทานเพิ่มได้)
ส่วนห้องพักภายในมีความญี่ปุ่นจ๋าสุดๆ ไปเลย ที่นอนจะเป็นฟูกนุ่ม ๆ ซึ่งตอนไปเราอากาศอยู่ที่ 16 องศา คุณป้าจะให้ถุงอุ่นที่ทำให้เตียงอุ่นโดยปล่อยความร้อนออกมา และเก็บไว้ผ่านฟูกนอน ช่วยให้เราหลับสบายมายิ่งขึ้น ให้ฟีลเหมือนอยู่ในอนิเมะเลย
สำหรับในช่วงกลางคืนคุณป้าจะเตรียมน้ำใส่ Baht Tub ให้เราอาบแบบแช่ได้ ส่วนช่วงเช้าที่ตื่นนอน คุณลุงคุณป้าจะนัดเวลาเตรียมอาหารเช้ากับเราอีกรอบนึง ถ้าเทียบกับ Set อาหารเย็นที่ทานแล้ว ก็ต้องบอกว่าคนญี่ปุ่นทานอาหารเช้าค่อนข้างเบา เน้นไปทางผักซะเยอะหน่อย แต่ทุกมื้อในการอยู่ที่นี่ ก็ชวนทำให้เราคิดถึงฝีมือคุณลุงคุณป้าแน่ๆ เมื่อต้องกลับไปประเทศไทย TT
สำหรับใครที่อยากมาพักที่บ้านพักนี้สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่เว็บไซต์ของ Yusuke ได้เลยนะ
เป็นยังไงบ้างกับ 1 Day Trip in Toyama บอกเลยว่าเต็มไปด้วยวัฒนธรรมที่มาครั้งเดียวไม่พอจริงๆ เป็นอีกความทรงจำที่ต้องจดจำไปตลอดชีวิตแน่นอน สำหรับใครที่สนใจแพลนที่เที่ยวญี่ปุ่นแบบนี้ อย่าลืมติดตามที่ต่อไปน้าาา~