เพื่อนๆ เคยไปเที่ยวที่ไหนแล้วมีความทรงจำมากมายจนยากจะลืมไหม? จะบอกว่าวันนี้ Lifesara ก็เป็นหนึ่งในคนที่ได้ลองไปสัมผัสกับความน่าประทับใจที่ยากจะลืมโดยที่ๆ เราจะบอกเป็นหนึ่งในเมืองๆ นึงของญี่ปุ่น ซึ่งนั่นก็คือเมือง ‘Nagano’ เมืองสุดสวยงาม บรรยากาศดีที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองแห่งธรรมชาติ และมีทิวทัศน์มากมายเลือกเที่ยวไม่หมดนั่นเอง

เพราะงั้นใครที่กำลังจะไปเที่ยวญี่ปุ่น นอกจากการไปตะลุยที่เมืองมรดกโลกอย่าง Toyama หรือเมืองแห่งกระเช้าลอยฟ้าอย่าง Gifu แล้ว วันนี้เลยเป็นโอกาสดีที่พวกเราจะขอพาเพื่อนๆ ไปเที่ยวเมือง Nagano แบบจัดเต็มจุใจ บอกเลยว่าแพลนนี้จะเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกในการตัดสินใจของเพื่อนๆ ในการมา One Day Trip in Nagano ที่ฟินแน่นอน ทีนี้เรามาดูกันว่าที่เที่ยว Nagano จะมีที่ไหนน่าสนใจ และเต็มสิบเพื่อนๆ อยากให้เท่าไหร่กันบ้าง ตามไปอ่านกันเลยจ้าาา ~ ✨

 1  

Nagano เมืองสวยงามที่ขึ้นชื่อเรื่ององุ่น Muscat!

ก่อนจะเข้าการรีวิวต้องบอกก่อนว่าเมือง Nagano นั้นเป็นอีกเมืองที่สวยงามและบรรยากาศดีมากๆ แถมยังเป็นเมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องการปลูกองุ่นอย่าง Shrine Muscat และ Nagano Purple (ナガノパープル) อีกด้วยล่ะ เพื่อนๆ คนไหนที่เป็นสาวกองุ่นล่ะก็ ต้องบอกเลยว่าแพลนทริปนี้จะต้องถูกใจเพื่อนๆ แน่นอน✨

แต่ก่อนจะเข้าเรื่อง เราขอสรุปแพลนและกิจกรรมทั้งหมดให้เห็นภาพคร่าวๆ กันก่อน สำหรับใครที่อยากอ่านภาพรวมแบบเร็วๆ 😍

  • เยี่ยมชมไร่องุ่น ตัดองุ่นสดๆ จากต้นที่ Nakamura Farm
  • ทานอาหารกลางวันที่ร้านดังย่าน Obuse  
  • เข้าชมพิพิธภัณฑ์ Hokusai ศิลปินระดับปรมาจารย์ยุคเอโดะ เจ้าของภาพ ‘คลื่นยักษ์นอกฝั่งคานางาวะ’
  • เข้าตัวเมืองปั่นจักรยานรอบเมือง
  • แวะทานไอศครีมร้าน Milgreen สุด Homie
  • ปิดท้ายด้วยร้านอาหารเย็นที่อยู่ไม่ไกลจาก Zenkoji Temple แหล่งท่องเที่ยว Landmark จาก Nagano
 2  

ตัดองุ่นสดๆ จากต้นที่ไร่องุ่น Nakamura Farm

เรามาเริ่มต้นกันที่การเดินทางกันก่อนเลย ซึ่งจะบอกว่าเรานั่งเครื่องมาลงที่สนามบิน Haneda เมือง Tokyo (ถ้าไปลง Narita จะค่อนข้างไกล จะเสียเวลาเรามากกว่า) และจากสนามบิน ค่อยนั่งรถไฟ Kyokyu Line จากสนามบินฮาเนดะ ไปลง Shinagawa จะดีกว่านะ

หลังจากนั้นค่อยเปลี่ยน Line ไปนั่ง Ueno tokyo Line ไปลงสถานี Tokyo (อันนี้จะค่อนข้างมีหลายสายที่นั่งไปลง Tokyo ได้ ลองเช็คใน Google Map เอาอีกทีได้เลย)

ทีนี้เรามาต่อ Shinkanzen อีกทีนึง จริงๆ Nagano จะไปได้หลายขบวนมาก ขึ้นกับว่าเราจะเอาที่นั่งแบบไหน ซึ่งเพราะรอบนี้ เราจะเอาแบบที่มีที่นั่งเนื่องจากต้องนั่งยาวๆ ไปเกือบ 1 ชั่วโมงกว่าเลย (ถ้าดันไปจองแบบ Non-Reserve แล้วเข้ามาไม่มีที่นั่งก็ต้องยืนไปเลยยาวๆ อะไรงี้) อย่างในภาพเราก็จะมีตั๋วที่บวกเพิ่ม express ราคาก็จะแพงขึ้นเท่าตัวเลย ซึ่งค่าใช้จ่ายสำหรับการนั่ง Shinkanzen ของเราคือ 8,340 เยน

ช่วงที่เรามาคือเดือน October ซึ่งอากาศค่อนข้างจะเย็นกำลังดี แบบที่ใส่เสื้อนอกอีกตัวก็ลุยได้เลยชิลๆ ละคือด้วยความที่โตเกียวค่อนข้างพลุกพล่านมากๆ จึงไม่แปลกที่บริเวณสถานี จึงมีคนเยอะมากกกกก เพราะที่นี่มีหลายสายรถไฟที่วิ่งมาเชื่อมกัน ดังนั้น ถ้าใครมาขึ้นรถไฟที่นี่ ก็อยากให้เผื่อเวลาหลงทางกันด้วยนะ เพราะขนาดคนญี่ปุ่นยังหลงเลย 555😂

หลังจากมาถึงสถานี Nagano เราสามารถเลือกเดินทางได้ 2 แบบ

  1. เช่ารถขับไปจากสถานีหลัก Nagano หรือ
  2. นั่งรถไฟฟ้าจากสถานี Nagano ไปสถานี Suzaka แล้วต่อรถ Taxi ไปฟาร์มได้ (น่าจะไม่เกิน 2000 เยนก็ถึง เพราะว่าใช้ระยะทางประมาณ 7 กิโล)

ซึ่งแน่นอนว่าเราเลือกต่อ Taxi เพื่อแวะไปตัดองุ่นที่ไร่องุ่น~

ทาดาาา~ ถึงแล้วว ตอนนี้เราก็มาถึงไร่องุ่น Nakamura Farm ! 

พอมาถึงที่ฟาร์มเจ้าของก็จะพาเราไปตัดองุ่น ซึ่งไร่องุ่นไร่นี้จะปลูกอยู่ทั้งหมด 3 ชนิดด้วยกันค่ะ ได้แก่ Shine Muscat, Nagano Purple และ Queen Nina 

Shine Muscat เป็นองุ่นที่มีต้นกำเนิดมาจากญี่ปุ่น ซึ่งใช้เวลาหลายปีในการคิดค้นพันธุ์นี้ขึ้นมา ปัจจุบันถึงแม้องุ่น Shine Muscat จะฮิตมากในหลายๆ ประเทศ และได้นำพันธุ์ไปเพาะต่อในประเทศต่างๆ แต่เราขอบอกเลยว่าญี่ปุ่นคือของแท้นะทุกคนน เป็นลิขสิทธิ์ที่แรกและที่เดียว ที่อร่อยที่สุดแล้ว

โดยองุ่นพันธุ์นี้จะมีกลิ่นหอมเฉพาะตัวของมันเลย ไซมัสเป็นองุ่นที่กำลังเริ่มฮิตในไทยระดับนึง ถ้าเดินตามหาใน super market จะเริ่มมีเห็นๆ วางขายอยู่บ้าง ยิ่งพวงที่สดมาก ละอร่อยจริงๆ นี่คือราคาแพงมากกก เพราะงั้นการได้มาตัดองุ่นที่นี่จึงคุ้มมากๆ เพราะองุ่นทุกลูกทุกพวงก็คือสดอยู่เลย อีกทั้งเปลือกยังเด้ง แล้วลูกก็ใหญ่มากเลย ราคาก็ไม่แรงเท่าตอนซื้อที่ไทย

และที่ตกใจมากคือเพิ่งรู้ว่า Muscat เป็นองุ่นที่แกนหลุดง่ายมากกกก ถ้าทำตกจากมือคือองุ่นกระงายไปคนละทิศละทางเลย (ถามว่ารู้ได้ไง คือเราทำตกมาพวงนึง 555)

Nagano Purple ตัวนี้จะมีกลิ่นออกไปทางน้ำองุ่น ตัวเปลือกจะไม่ได้เต่งเท่าอันอื่น ถ้าใครไม่ชอบ Texture แบบเยลลี่ อันนี้จะเป็นแนว Soft หน่อย กัดแล้วขาดเลย ในขณะที่ Queen Nina องุ่นชนิดนี้รสจะอร่อยเหมือนเยลลี่เลย Texture มันจะนุ่มๆ เนื้อจะไม่ได้กัดแล้วขาดเลย

ต้องบอกว่าเปิดประสบการณ์รสชาติองุ่นมากๆ ในไทยยังไม่ค่อยได้ทานรสชาติแบบนี้เลย ถ้าเทียบว่ารสชาติแบบไหนอร่อยสุด ส่วนตัวเราชอบชนิดนี้มากที่สุด แต่แอบเสียดายที่ตอนเรามา เจ้าของไร่เขาตัด Queen Nina ไปแล้ว เพราะว่าองุ่นพันธุ์นี้จะมีช่วงเวลาการตัดองุ่นอยู่ และจะทานได้ในช่วงเดือน 9 ของทุกปี ถ้าไปช้าแบบเดือน 10 งี้ก็อาจจะพลาดไม่ได้กินแบบเรานี่แหละ 555 แต่ถึงจะไม่ได้ไปตัดชิมสดๆ จากต้น แต่ทางที่ไร่เค้าก็มีเตรียมใส่กระปุกมาให้เราลองทานดูอยู่นะ อร่อยมากกก~

คุณป้าเจ้าของฟาร์มน่ารักมาก เขาจะเดินมาแนะนำให้เราฟังเลยว่าแต่ละชนิดต้องดูแลยังไง การเก็บเกี่ยว รวมไปถึงฤดูของการเพาะปลูก ซึ่งถ้าใครอยากเข้าใจเรื่องการปลูกองุ่นแบบเต็มเม็ดเต็มเหนี่ยว แถมได้ทานองุ่นอร่อยๆ แบบจัดเต็ม ต้องมาที่นี่จริงๆ ใครที่สนใจอยากแวะไปที่ไร่นี้ สามารถเข้าไปดูรายละเอียดต่อได้ตามเว็บนี้เลยย

 3  

ทานซาชิมิสดๆ จาก Kurabu Obuse Yoritsuki Cuisine

ไม่นานหลังจากนั้น เราได้เดินทางจากที่ Nakamura Farm ไปต่อที่ตัวเมือง เพื่อทานร้านอาหาร Obuse Yoritsuki Cuisine Kurabu ซึ่งเราจะขอเรียกอย่างย่อๆ ว่า Kurabu 

โดยร้าน Kurabu เป็นร้านที่ดังมากๆ ของคนที่นั่น ตอนเราไปถึงจะเห็นว่าคนต่อแถวหน้าร้านเยอะมากกก และภายในร้าน โต๊ะทุกตัวก็โดนจับจองอยู่อย่างหนาแน่นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งในส่วนนี้แนะนำเลยว่า ถ้าใครจะมาทานที่ร้านนี้ อาจจะเผื่อเวลาไปหน่อยนะ หรือถ้ามีเบอร์ญี่ปุ่น แนะนำให้โทรจองไปก่อนเลยจะดีมากจ้า

การตกแต่งภายในร้าน จะมีโซนนึงที่เขาได้จัดวางสาเกแบบเรียงราย ถือเป็นร้านที่มีกลิ่นอายความเป็นญี่ปุ่นแบบสมัยก่อน คือถ้าสังเกตคนที่มานั่งกินส่วนใหญ่ ก็จะพบว่าเป็นคนญี่ปุ่นที่เริ่มมีอายุแล้วระดับนึง

ที่นี่จะมีวัตถุดิบ Signature ที่เป็นจุดเด่นของจังหวัด Nagano ก็คือปลา Shinshu Salmon และ Great King Shinshu Iwana ซึ่งจะเป็นที่ที่เลี้ยงจากแหล่งน้ำธรรมชาติที่สะอาดมากๆ ของเมือง Sakuho บอกเลยว่าถ้าชอบปลาดิบอยู่แล้วล่ะก็ แนะนำว่าเมนูนี้เป็นเมนูที่ไม่ควรพลาดเลยจริงๆ 😍

โดยเราสามารถสั่งแยกหรือสั่งเป็น Set มาทานก็ได้เช่นกัน

บอกเลยว่าอีกหนึ่งเมนูที่เรากินคือ Recommended Set ซึ่งเป็นหนึ่งใน Set หลักของเขาเลย ดูดีมาก 

ซึ่งส่วนตัวชอบ Sashimi มากสุด เพราะทานง่าย ส่วนเมนูสองของ Set หลักที่สั่งมา จะเน้นไปทางเครื่องเคียงที่หลากหลาย อันนี้มองว่าน่าจะถูกปากผู้ใหญ่ เพราะจากที่ดูโต๊ะอื่นๆ ก็สั่ง Set Recommended เหมือนกัน บอกเลยว่า ใครมานาโกโนะห้ามพลาดร้านนี้เลยน้า🥰

📍ร้านเปิดทำการ : 11.00 – 22.00 (Last Order 20.00)
Location : 807 Obuse, Kamitakai District, Nagano 381-0293 ญี่ปุ่น
Website : https://www.obusekurabu.com/ 

จบจากร้านของคาว เราไปต่อร้านไอติมเกาลัดที่คนต่อแถวซื้อเยอะมากกกก สังเกตได้ไม่ยากเพราะอยู่ติดกันเลยกับร้านอาหารกลางวันของเราเลย

แน่นอนว่าเมนูที่เราไม่ควรพลาด คือตัวที่เป็นไอติมที่ทำจากเกาลัดคล้ายๆ เส้นโซบะ Topping อยู่ข้างบน ร้านทำออกมาน่ารักมากกก มีมาสคอตเป็นน้องเกาลัดด้วย ประทับใจการทำ แบรนด์ดิ้งของที่นี่สุดๆ เลยล่ะ~~

 4  

เข้าชมพิพิธภัณฑ์ Hokusai ศิลปินระดับปรมาจารย์สมัยเอโดะ

ต่อจากร้านไอศกรีม ก็ไปเดินย่อยต่อที่พิพิธภัณฑ์ของ Hokusai ศิลปินระดับปรมาจารย์ จิตรกร และ ช่างพิมพ์ของญี่ปุ่น โดยเราสามารถสังเกตสถานที่นี้ได้ไม่ยากเลย เนื่องจากอยู่ตรงข้ามกับร้านไอศกรีมเกาลัดก่อนหน้านั่นเอง

โดยภาพจากแผ่นพับ คือภาพที่เป็นหนึ่งในผลงานที่โด่งดังของ Hokusai ‘คลื่นยักษ์นอกฝั่งคานางาวะ’

ภายในพิพิธภัณฑ์ จะมีเล่าเรื่องราวชีวิตของเขา พร้อมทั้งมีรวบรวมผลงานที่ Hokusai ทำมาตลอด 70 จัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ด้วย

ต้องบอกว่าเป็นหลังจากที่เดินจนครบ และเห็นผลงานจัดแสดงทั้งหมดในพิพิธภัณฑ์ เรายิ่งประทับใจในตัวศิลปินคนนี้ขึ้นไปอีก เพราะงานวาดภาพของเขาที่เก็บสะสมอยู่ในนี้มันเยอะมาก! แค่กวาดสายตาดูโดยรวมก็เกินร้อยชิ้นขึ้นไปแล้ว แถมงานยังค่อนข้างมีความหลากหลายสไตล์การวาดในแต่ละช่วงเวลาอีกด้วย บอกเลยว่าดีต่อใจจริงๆ

📍พิพิธภัณฑ์เปิดทำการ : 9.00am – 17.00pm 
ค่าเข้า : 1000 เยน

 5  

ปั่นจักรยานรอบเมืองวิถีสโลว์ไลฟ์

เปลี่ยนบรรยากาศมาเช่าจักรยานกันบ้าง เนื่องจากอีกสถานที่ที่เราตั้งใจว่าจะไป ค่อนข้างใช้เวลาเดินระดับนึง เราเลยเลือกที่จะเช่าจักรยานเพื่อร่นระยะเวลาในการเดินทางให้สั้นลง โดยร้านที่เราใช้บริการจะอยู่ที่ตัวเมือง Obuse ซึ่งที่นี่มีร้านเปิดให้เช่าจักรยานค่อนข้างเยอะ และครั้งนี้เรามาเช่าจักรยานจากร้าน Maaru กันจ้า

ระหว่างปั่นก็แวะถ่ายรูปไปด้วยพลางๆ บรรยากาศดีสุดๆ มู้ดดีไม่ไหว

 6  

แวะทานไอศกรีมนมวัวสุดโฮมมี่จากร้าน Milgreen

ปั่นจากตัวเมืองออกมาไม่ไกลมาก เราก็จะเจอร้านที่ชื่อ Milgreen ซึ่งเป็นร้านที่มีจุดขายจากการใช้นมวัวสดจากวัวที่เลี้ยงเองมาทำเป็นไอศกรีม โดยฝั่งตรงข้ามของร้าน จะมีคอกวัวโชว์ให้เห็นตรงหน้ากันไปเลย น่ารักมากกก

หน้าร้านตกแต่งออกไปทางมินิมอลเบาๆ เราสามารถปั่นจักรยานมาจอดที่หน้าร้านได้ด้วยนะ

ตัวไอศกรีมที่ลองที่เห็นเป็นสีขาว อันนั้นจะเป็นรสนมสด ซึ่ง Texture จะไม่ได้บางแบบ Gelato เพราะจะมีความข้นและหนากว่าหน่อย ซึ่งถือว่าทำออกมาได้ดีเลย นอกจากนี้ ใครที่เป็นสาย Soft cream อาจจะอยากลองตัว Soft cream สีขาวที่เสิร์ฟมาในโคน (อยู่ทางฝั่งขวามือของรูป) ใครพลาดล่ะก็ต้องย้อนกลับมาลองกินก่อนเลย บอกเลยไม่ควรพลาดดด

📍พิกัดสถานที่ : 93番地59 Ojima, Obuse, Kamitakai District, Nagano 381-0203, Japan

 7  

ทานเนื้อวัวนึ่งสไตล์ใหม่จาก Monzensaryo Yayoiza

และขอปิดท้ายวันนี้ที่ร้านอาหารเย็นซึ่งเป็นร้านที่อยู่ไม่ไกลจาก Zenkoji Temple เท่าไหร่ ร้านชื่อ Monzensaryo Yayoiza

อย่างแรกที่เราตื่นเต้นกับเมนูอาหารก็คือ เมนูที่เราเห็นขายอยู่หน้าร้าน ตอนแรกเราเข้าใจว่าที่ร้านเสิร์ฟชาบู เพราะสไตล์การจัดจาน หรือ รูปที่ทางร้านโพสต์ใน Social Media ก็มีแววจะไปทางนั้น แต่พอสั่งมาทานจริงๆ แล้ว เมนูของที่นี่เขาใช้วิธีการ “นึ่ง” อาหารแทนการทานแบบชาบูๆ หรือปิ้งย่างนั่นเอง เปิดมิติการลองทานอาหารสไตล์ใหม่มากๆ เลย

เนื้อวัวตอนทาน ที่ร้านทำออกมาได้นุ่มมากกกกก ร้านจะมีเสิร์ฟน้ำจิ้มมาให้เรากินคู่กับเนื้อและผัก 2 ชนิด เป็นน้ำจิ้มงาและพอนซึ ตัดรสชาติได้ดีมากๆ เลยยย อร่อยมาก

ระหว่างรออาหารเรามีสั่งซาชิมิมาทานเล่นไปก่อนเพลินๆ ปลาดิบที่นี่สดใช้ได้เลยล่ะ ดีต่อใจสายซาชิมิแน่นอน

บอกเลยว่าเป็นร้านที่ประทับใจและคิดว่าน่าจะได้กลับมาทานอีกครั้งแน่นอนถ้าแวะมาที่ Nagano ในครั้งหน้า เพื่อนๆ คนไหนที่อยากไปลองทานร้านนี้ เราทิ้งโลเคชั่นร้านไว้ตามด้านล่างนี้เลยยย

Location : Daimonchō-503 Nagano, 380-0841, Japan

ใครมีแพลนไปเที่ยวญี่ปุ่น บอกเลยว่าการมาเที่ยวที่เมือง Nagano นั้น ก็ถือเป็นอีกตัวเลือกที่ดีในการผ่อนคลายร่างกาย จิตใจ และได้เติมเต็มด้วยอาหารอร่อยๆ อีกมากมาย ก็หวังว่าการมา Nagano ของพวกเราในครั้งนี้ จะช่วยให้การเที่ยวของทุกคนสนุกมากขึ้นน้า แล้วเจอกันในสถานที่ถัดไป จะเป็นที่ไหน เดี๋ยวเรามาดูกันนน