ใกล้ช่วงสิ้นปีแบบนี้ ต้องเตรียมเงินเตรียมใจให้พร้อม แล้ว go to ภาคเหนือ นั่งรถไฟไปเชียงใหม่ รับลมหนาว พร้อมบรรยากาศดีๆ กันเถอะทุกคนน!
 
เชื่อว่าหลายคนต้องมีแพลนอยากเที่ยวเชียงใหม่กันบ้าง แต่จะนั่งเครื่องบินก็กลัวแพงเกินไป จะขับรถไปก็แสนจะเหนื่อยเหลือเกิน หรือจะนั่งรถไฟปกติไปก็คงใช้เวลานานเป็นวัน เพราะงั้นยิ้มร่าได้เลย เพราะพวกเรา Lifesara ขอพาเพื่อนๆ ทุกคนที่มีแพลนเตรียมไปเชียงใหม่ได้ลอง “จองรถไฟตู้พิเศษ” หรือ “ตู้นอน” เพื่อนั่งรถไฟไปเชียงใหม่กันค่าา
 
ซึ่งบอกเลยว่าสะดวกสบายมากจริงๆ นะ เพียงแค่เรานอนหลับไปยาวๆ แล้วตื่นขึ้นมาอีกที ก็คือเตรียมมาดูหมอกตอนเช้าระหว่างรถไฟแล่นได้เลยย ซึ่งการเดินทางของพวกเราจะเป็นยังไงบ้าง และจะช่วยทุกคนได้มากน้อยแค่ไหน ไปติดตามอ่านกันเลยย~
 
 1  

5 ขั้นตอนง่ายๆ ในการจองรถไฟไปเชียงใหม่

1. เริ่มที่จองตั๋วรถไฟกันเลยย~

ขั้นตอนแรกคือเข้าเว็บจองตั๋วรถไฟกันก่อนนะ โดยส่วนใหญ่เว็บจะเริ่มเปิดให้จองได้ตอน 08:00 ของแต่ละวัน ซึ่งพอเลือกวันแล้ว หน้าต่างก็จะแสดงประเภทของรถไฟให้เราได้เลือก ทั้งรถเร็ว รถด่วน รถด่วนพิเศษ แล้วแต่ความสะดวกของเราเลยนะว่าอยากไปถึงเชียงใหม่ตอนช่วงกี่โมง 

ซึ่งหากใครกลัวและไม่มั่นใจว่าที่นั่งจะเต็มไหม เราขอแนะนำว่าให้จองก่อนล่วงหน้า 1 เดือนไปเลย ไม่อย่างนั้นที่นั่งจะเต็มเร็วมาก แล้วยิ่งเป็นเทศกาลด้วยล่ะก็ ยิ่งเต็มเร็วเลย!

*ตั๋วรถไฟจะเปิดให้จองล่วงหน้าได้ 1 เดือนนับจากวันออกเดินทาง เช่น หากเราอยากออกเดินทางวันที่ 21 ธันวา เราก็จะเริ่มจองตั๋วได้ตั้งแต่วันที่ 21 พฤศจิกา ตอน 8 โมงเช้านั่นเอง

2. เลือกตู้โดยสาร

เมื่อเราเลือกประเภทรถแล้ว หน้าต่อมาก็จะมีให้เราเลือกชั้นของรถ ตั้งแต่ชั้น 1 ถึง 3

  • ชั้น 3 จะเป็นชั้นเริ่มต้น อาจจะเป็นโบกี้ที่เป็นแบบนั่งและเป็นขบวนพัดลม
  • ชั้น 2 จะเป็นแบบนั่ง/นอน รวมถึงเป็นขบวนปรับอากาศ ซึ่งก็จะมีราคาที่สูงขึ้นมา
  • ชั้นที่ 1 จะเป็นรถโบกี้นั่ง/นอน และเป็นระบบปรับอากาศเหมือนชั้นที่ 2 แต่จะมีความพรีเมียมและเป็นส่วนตัวมากขึ้น 

หากขบวนไหน มีคนจองที่นั่งเต็มหมดแล้ว แถบจะกลายเป็นสีเทา  แล้วเราจะกดเข้าไปดูไม่ได้

3. กรอกข้อมูล

หน้าต่อมาจะเป็นหน้าให้เรากรอกข้อมูลผู้โดยสาร โดยข้อมูลหลักๆ ที่เราต้องใส่คือ เพศ ชื่อนามสกุล เบอร์โทร อีเมลและเลขบัตรประชาชน ซึ่งถ้าเรามีผู้ร่วมโดยสารไปด้วย ก็ต้องกรอกในส่วนนี้ให้ครบทุกคนด้วยนะ (ถ้าใครจะกรอกจองให้เพื่อน อย่าลืมขอข้อมูลเพื่อนมาก่อนน้า) โดยเราจะสามารถเพิ่มผู้โดยสารได้มากสุดถึง 10 คน

4. เลือกที่นั่ง

หลังจากที่เราทำการกรอกข้อมูลเสร็จสิ้นแล้ว จะมีหน้าให้เราจองที่นั่ง และแต่ละที่นั่งจะมีเลขกำกับอยู่ โดยไอคอนรูปเตียง จะเป็นไอคอนที่แสดงว่าที่นั่งนั้นว่างอยู่ ให้เรากดเลือกได้

5. ชำระเงิน

ขั้นตอนถัดมาจะเป็นการชำระเงิน โดยจะมีรายการสรุปมาให้ว่าเราจะต้องจ่ายเงินเท่าไหร่ ซึ่งเราสามารถจ่ายเงินผ่านบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิตได้ หรือจะไปจ่ายเงินที่สถานีก็ได้เหมือนกัน แต่ถ้าเราเลือกชำระเงินที่สถานี ก็ต้องนำหมายเลขการจองไปแสดงที่สถานีภายในเวลาที่กำหนด เพื่อให้เขาออกบัตรโดยสารให้นะ ด้วยขั้นตอนง่ายๆ เพียงเท่านี้เราก็พร้อมที่จะนั่งรถไฟไปเชียงใหม่กันแล้ววว

 2  

ก่อนขึ้นรถไฟ เตรียมตัวยังไงดี?

เมื่อผ่านขั้นตอนการจองไปเมื่อนานมาแล้ว คราวนี้มาถึงการเดินทางจริงกันบ้าง ในวันเดินทางจริง รถไฟของพวกเราจะเริ่มออกเดินทางเวลา 19:35 โดยพวกเราเลือกจะขึ้นรถไฟที่สถานีหัวลำโพงซึ่งเป็นสถานีต้นทาง เพราะกะว่าจะได้นอนกันยาวๆ ตั้งแต่ต้นทางและไปตื่นอีกทีตอนเช้าที่เชียงใหม่ทีเดียวเลยนั่นเอง

ทั้งนี้ก่อนถึงเวลารถไฟออกเดินทาง พวกเราแนะนำว่าใครที่กลัวหิว ก็ควรเตรียมซื้อของกินตุนเอาไว้นะ ซึ่งสำหรับพวกเรานั้น แม้ว่าบริเวณสถานี จะมีของกินเยอะสุดๆ แต่พวกเราเลือกใช้วิธีโทรสั่งเดลิเวอรี่ให้มาส่งที่หน้าสถานี เพราะอยากกินของที่ชอบมากกว่านั่นเอง

หลังจากเตรียมของกินอะไรเสร็จเรียบร้อย ก่อนอื่นเลย เราก็อย่าลืมเช็คให้เรียบร้อยว่าเราต้องไปขึ้นชานชาลาไหน โบกี้เท่าไหร่ และที่นั่งเบอร์อะไร บนหรือล่าง (โดยข้อมูลทุกอย่างจะอยู่บนตั๋วเรานั่นเอง ห้ามทำตั๋วหายเลยน้า)

หลังจากเช็คทุกอย่างและเตรียมพร้อมอะไรใดๆ เรียบร้อยแล้ว ก็ไป Stand by แถวๆ รถไฟก่อนถึงเวลาออกเดินทางสัก 10-15 นาทีจะกำลังดี ซึ่งระหว่างเดินไปขึ้นรถไฟ เราก็จะได้เจอกับพี่ๆ พนักงานที่กำลังทำความสะอาดรถไฟ แบบค่อยๆ คลีนแต่ละโบกี้ บอกเลยว่าดูแลดีสุดๆ ฉีดน้ำกันกระจายย

 3  

พาส่องภายในขบวนรถไฟกรุงเทพ-เชียงใหม่ (ตู้นอน)

พอเตรียมพร้อมแล้วก็ขึ้นรถไฟกันเลยยย โดยในตอนแรกที่ขึ้นมาบนรถไฟนั้น สิ่งที่สัมผัสได้คือแอร์เย็นมากกก ก็คือชื่นใจสุดๆ แล้วหลังจากที่เราขึ้นมาแล้ว สิ่งแรกที่ควรทำ คือเช็กตั๋วเราก่อนว่าที่นั่งเราอยู่เบอร์ไหน และเป็นเลขคู่หรือเลขคี่ (เลขคู่จะเป็นเตียงล่าง ส่วนเลขคี่จะเป็นเตียงบน) และไม่ต้องตกใจนะ เพราะตอนเราขึ้นมาใหม่ๆ ในตอนแรก เก้าอี้จะยังจะเป็นเก้าอี้นั่งเข้าหากันแบบปกติของรถไฟ 

หลังจากนั้นพี่เจ้าหน้าที่จะเข้ามาเจาะตั๋ว ซึ่งตรงนี้เราต้องเตรียมตั๋วไว้ให้พร้อมนะ จากนั้นเมื่อเวลาผ่านไปสักครึ่งถึงหนึ่งชั่วโมง พี่เจ้าหน้าที่จะเริ่มมาดึงที่นั่งออก เพื่อปูเป็นที่นอนให้ทุกคนนั่นเอง หลังจากปูเสร็จ ก็จะแจกอาวุธในการนอนอย่างหมอนนุ่มๆ และผ้าห่มสะอาดๆ ที่ซีลอยู่ในถุงไวัให้อย่างดีทุกล็อต แถมยังต่อผ้าม่านกันให้ทั้งบนและล่างอีกด้วยนะ ซึ่งสีม่านของแต่ละโบกี้ก็จะสีไม่เหมือนกัน แต่ที่แน่ๆ คือไม่ว่าใครจะเดินผ่านไปมา ก็จะมองไม่เห็นไปถึงอีกฝั่งแน่นอน ก็คือให้ความเป็นส่วนตัวกันได้อยู่นั่นเอง

ปล. บันไดขึ้นเตียงชั้นบนจะพาดไว้อยู่ด้านนอกของเตียงนอนชั้นล่าง ดังนั้นจึงหมดปัญหา ไม่ต้องกลัวว่าตอนที่คนอยู่ข้างบนปีนขึ้นไปแล้วจะมารบกวนเรา

สำหรับห้องน้ำนั้น จะอยู่ริมสุดของโบกี้ที่เราอยู่ทั้งด้านซ้ายสุดและขวาสุด ซึ่งมีที่ฉีดก้นกับกระดาษทิชชู่และอ่างล่างมือให้ เอาจริงก็ถือว่าไม่แย่ขนาดนั้นสำหรับการนั่งรถไฟ และสำหรับใครที่กินอะไรแล้วอยากทิ้งขยะขึ้นมา บริเวณห้องน้ำจะมีถังขยะอยู่ สามารถเดินไปทิ้งได้เลย

รีวิวส่วนตัวจากความรู้สึกพวกเราเลย!

  • ต้องทำใจว่าการที่จะได้นอนใกล้ๆ กับเพื่อนหรือนอนติดๆ กันเป็นอะไรที่แสนลำบากมาก รวมถึงเราอาจจะยังเลือกไม่ได้ว่าจะได้นอนเตียงบนหรือเตียงล่าง (เพราะตอนจอง มันต้องแย่งชิงกันสูง! หากจองช้าก็อาจจะไม่ได้เตียงที่ต้องการ)
  • เตียงจะนอนได้คนเดียว แต่ถ้าอยากนั่งเม้าท์มอยกับเพื่อนก่อน ก็นั่งได้ถึง 3 คนเลย แต่เบียดหน่อยนะ (แต่ถ้าตัวเล็กๆ กันหมด 3 คนก็พอไหวอยู่ 😂)
  • สำหรับผ้าห่มจะเป็นของใหม่ ห่อใส่ถุงพลาสติกอย่างดีเลย ปลอกหมอนสะอาด เตียงนอนก็โอเค เรียกได้ว่าสบายอยู่นะ ถ้าเทียบกับการนอนในรถไฟ ซึ่งสำหรับผ้าห่มนั้น ถือว่าใหญ่ และพอให้ความอบอุ่นอยู่ แต่ถ้าอยากอุ่นจริงๆ แนะนำว่าควรใส่ถุงเท้ากับเสื้อกันหนาวมาเพิ่มติดตัวไว้จะดีกว่า เพราะพอเลยเที่ยงคืนไป อากาศบนรถไฟจะหนาวมากๆ ยิ่งคนนอนชั้นบนบอกเลยว่าเย็นจนอาจจะตื่นเพราะความหนาวได้เลย! 
  • ด้วยความที่รถไฟมีผ้าม่านกั้นอย่างดี ก็ถือว่าให้ความเป็นส่วนตัวได้ดี ไม่ต้องกลัวว่าใครจะเห็นเรา และเราจะเห็นใคร
  • สำหรับใครที่นอนริมประตู หรือริมห้องน้ำ ระวังอาจจะมีเสียงรบกวนของเครื่องจักรกับคนเปิดประตูไปมาค่อนข้างบ่อย จนอาจทำให้นอนไม่หลับ
  • สำหรับขบวนที่พวกเรานั่งนั้น จะมีปลั๊กไฟเฉพาะตำแหน่งตรงกลางของขบวนเท่านั้น แต่ถ้าใครอยากได้ปลั๊กที่ติดมากับเตียงทุกตำแหน่ง แนะนำให้จองรถไฟแบบขบวนด่วนพิเศษ ที่เป็นรถไฟสีแดงๆ เลยค่า
  • เตียงบนจะไม่มีหน้าต่าง ดังนั้นถ้าใครอยากดูวิวต้องจองเตียงล่างไปน้า
 4  

หลับตาอยู่ที่กรุงเทพ ตื่นมาอยู่ที่เชียงใหม่

หลังจากผ่านการนอนหลับอย่างยาวนานแล้ว เมื่อเราตื่นนอนมาอย่างแรกเลย ก็คือรีบดูริมหน้าต่างทันที บอกเลยว่าหมอกเยอะมากกกก ท้องฟ้าก็สวย หลังจากที่ได้ดูบรรยากาศอย่างเต็มอิ่ม เราก็ไปแปรงฟัน ล้างหน้าที่อ่างล้างหน้าเพื่อทำให้ตัวเองรู้สึกสดชื่นขึ้น (แอบกระซิบว่าน้ำเย็นมากกก ล้างหน้าเสร็จต้องใส่เสื้อกันหนาวช่วยเสริมความอบอุ่น 😂)

พอประมาณแปดโมงจะมีเจ้าหน้าที่มาเก็บเตียงนอนของเรา ใครชอบตื่นสายบอกเลยว่าใช้ไม่ได้กับที่นี่ ค่อยเปลี่ยนมานั่งหลับแทนนะทุกคนนน

ละคือรถไฟจะมีจอดที่ขุนตานพักนึงด้วยนะ ถ้าใครที่อยากหรือชอบถ่ายรูปก็สามารถลงไปถ่ายได้ แต่เราคือกลุ่มชนคนตื่นสายที่ง่วงมากกก ถ้าให้เลือกถ่ายรูปกับนอนต่อ เราเลือกนอนต่อค่ะ!

และแล้วก็ถึงที่หมาย โดยการนั่งรถไฟไปเชียงใหม่ในครั้งนี้ ใช้เวลาเดินทางตั้งแต่ 19:35 – 9:00 น. ของอีกวัน รวมๆ แล้วใช้เวลาไปทั้งสิ้น 12-13 ชั่วโมงเลยจากกรุงเทพฯ ถึงจังหวัดเชียงใหม่ บอกเลยว่าเป็นความทรงจำที่เปิดประสบการณ์มากๆ ใครอยากพาครอบครัว หรือเดอะแก๊งมาตะลุยภาคเหนือ การเดินทางด้วยรถไฟก็เป็นทางเลือกที่ผจญภัย ช่วยประหยัดค่าเดินทาง และสร้างความประทับใจได้ไม่แพ้การเดินทางรูปแบบไหนๆ เลย ถือเป็นการนั่งรถไฟไปเชียงใหม่ที่ต้องมีซ้ำอีกแน่นอน😍

ปล. สำหรับรถไฟขบวนด่วนพิเศษจะมีทั้งแบบตู้นั่งรวม และตู้เลดี้ เหมาะสำหรับนักเดินทางผู้หญิงและเด็กด้วยนะ ถ้าอยากจองทันก็อาจจะต้องเตรียมตัว เตรียมข้อมูลให้ดีๆ นะ เพราะต้องแข่งกันจองตั๋วสุดๆ เพราะฉะนั้นสู้ๆ นะทุกคนน ขอให้ไปเที่ยวกันอย่างสนุกและมีความสุขกันจ้าาา