ยูโทเปีย (Utopia) ศัพท์ภาษาอังกฤษที่ใช้เรียกเมืองในอุดมคติ เวลาใครอยากจะยกยอสถานที่ไหนว่าเป็นที่สุดเสมือนยกสวรรค์ลงมาอยู่บนโลก คนเหล่านั้นก็มักจะเรียกสถานที่นั้นว่าเป็นยูโทเปีย แต่ทุกคนรู้รึเปล่าว่าความจริงแล้วคำนี้มีที่มาอย่างไร และการเป็นประชาชนของเมืองในฝันนี้อาจจะไม่สบายอย่างที่คิด วันนี้พวกเรา Lifesara จะเอามาตีแผ่ให้ทุกคนได้รู้กันไปเลย ว่าเมืองยูโทเปียเนี่ยมันน่าอยู่จริงๆ รึเปล่า?!

จริงๆ แล้วยูโทเปียเป็นชื่อของประเทศสมมุติในหนังสือของโทมัส มอร์ ซึ่งเป็นผู้พิพากษาชาวอังกฤษที่ถูกยกให้เป็นนักบุญองค์อุปถัมภ์ของข้าราชการและนักการเมือง โดยเขาสร้างประเทศนี้ขึ้นมาจากความคิดของเขาว่า อะไรที่ทำให้ประเทศชาติเจริญรุ่งเรือง โดยที่ประชากรมีความสุขและมีศีลธรรม 

ซึ่งตั้งแต่ที่หนังสือของเขาถูกตีเผยแพร่มาตั้งแต่ปี ค.ศ.1516 ก็มีผู้ที่หยิบหนังสือเล่มนี้มาถกเถียงกันตลอดหลายร้อยปีเลยว่า ความจริงแล้วยูโทเปียมันเป็นประเทศที่ดีจริงๆ ไหม ซึ่งพวกเราเองก็พูดไม่ได้หรอก ก็คนเราความชอบมันไม่เหมือนกันนี่นา แต่ความพิเศษของยูโทเปียที่ทำให้มันไม่เหมือนโลกความจริงมันมีอะไรบ้าง เดี๋ยวเราจะเล่าให้ฟังต่อจากนี้เลยจ้า

ถ้าหลังจากอ่านจบ ทุกคนก็คงจะได้รู้จักชาวยูโทเปียกันมากขึ้นแน่นอนน! แล้วทุกคนคิดยังไงกับเรื่องนี้กันบ้าง อะไรที่รับไม่ได้ หรืออะไรที่อยากให้มีในบ้านเราบ้างจังเลย ลองเก็บไปคิดกันดูได้น้า และถ้าหากใครอยากรู้เรื่องของยูโทเปียเพิ่มเติมอีก ลองตามไปอ่านตามลิงก์ที่พวกเราจะทิ้งไว้ให้ได้เลย!

Youtube
ยูโทเปีย Utopia แนวคิดโลกในอุดมคติของ โทมัส มอร์
The History of Utopian Thinking | Danilo Palazzo | TEDxUCincinnati

Book
Utopia | แนะนำหนังสือน่าอ่าน
Utopia (Amazon)
Utopia (Se-ed)

 1  

ต้องเหมือนกันเป๊ะ! ทั้งเสื้อผ้ายังบ้านเรือนห้ามแตกแถวเด็ดขาด

ทุกๆ ปี ประชากรสามสิบครัวเรือนจะเลือกผู้นำชุมชนหนึ่งคน และผู้นำชุมชนสิบคนก็จะเลือกผู้แทนชุมชนหนึ่งคน และผู้นำชุมชนทั้งหมดในประเทศที่ปกติแล้วจะมีอยู่ประมาณสองร้อยกว่าคน ก็จะเลือกผู้นำสูงสุดของประเทศ ขึ้นมาจากสี่ชื่อที่ประชาชนเป็นคนเสนอมาด้วยการลงคะแนนลับ 

โดยผู้นำสูงสุดจะมีตำแหน่งเป็นเจ้าชาย และจะเป็นตำแหน่งเดียวที่อยู่ตลอดชีวิต หรือจนกว่าจะถูกถอดตามประชามติ โดยผู้แทนจะต้องประชุมกันทุกสามวันเพื่อหารือนโยบายระดับประเทศ และนำเรื่องไปหารือกับเจ้าชายบ่อยๆ โดยการประชุมของเขาเนี่ย ต้องมีผู้นำชุมชนเวียนเข้าไปฟังสองคนทุกครั้ง

ทำไมต้องยุ่งยากขนาดนี้น่ะเหรอ ก็เพราะชาวยูโทเปียเขาต้องการความโปร่งใสอย่างถึงที่สุดไงล่ะ นักการเมืองจะต้องไม่ถืออำนาจนานๆ และอำนาจแท้จริงต้องอยู่ในมือประชาชน เขาจริงจังถึงขั้นที่ว่า ถ้าจับได้ว่าผู้แทนหรือเจ้าชายไปแอบคุยการเมืองกันลับๆ ผู้แทนจะถูกประหารชีวิตทันที 

และเจ้าชายสามารถถูกอภิปรายต่อหน้าพลเมืองได้ ถ้าโดนสงสัยว่ามีความพยายามจะยึดอำนาจ และถ้าถูกตัดสินว่าผิดจริง นอกจากจะถูกถอดจากตำแหน่งทันทีแล้ว ก็จะโดนประหารตามผู้สมรู้ร่วมคิดไปโดยเร็วอีกต่างหาก! เรื่องการเมืองนี่คือไม่ต้องมาร้องขอความเมตตาใดๆ ทั้งสิ้น!

 2  

ห้ามคุยลับๆ ผู้แทนการเมืองต้องโปร่งใสไม่งั้นถึงตาย!

ทุกๆ ปี ประชากรสามสิบครัวเรือนจะเลือกผู้นำชุมชนหนึ่งคน และผู้นำชุมชนสิบคนก็จะเลือกผู้แทนชุมชนหนึ่งคน และผู้นำชุมชนทั้งหมดในประเทศที่ปกติแล้วจะมีอยู่ประมาณสองร้อยกว่าคน ก็จะเลือกผู้นำสูงสุดของประเทศ ขึ้นมาจากสี่ชื่อที่ประชาชนเป็นคนเสนอมาด้วยการลงคะแนนลับ 

โดยผู้นำสูงสุดจะมีตำแหน่งเป็นเจ้าชาย และจะเป็นตำแหน่งเดียวที่อยู่ตลอดชีวิต หรือจนกว่าจะถูกถอดตามประชามติ โดยผู้แทนจะต้องประชุมกันทุกสามวันเพื่อหารือนโยบายระดับประเทศ และนำเรื่องไปหารือกับเจ้าชายบ่อยๆ โดยการประชุมของเขาเนี่ย ต้องมีผู้นำชุมชนเวียนเข้าไปฟังสองคนทุกครั้ง

ทำไมต้องยุ่งยากขนาดนี้น่ะเหรอ ก็เพราะชาวยูโทเปียเขาต้องการความโปร่งใสอย่างถึงที่สุดไงล่ะ นักการเมืองจะต้องไม่ถืออำนาจนานๆ และอำนาจแท้จริงต้องอยู่ในมือประชาชน เขาจริงจังถึงขั้นที่ว่า ถ้าจับได้ว่าผู้แทนหรือเจ้าชายไปแอบคุยการเมืองกันลับๆ ผู้แทนจะถูกประหารชีวิตทันที 

และเจ้าชายสามารถถูกอภิปรายต่อหน้าพลเมืองได้ ถ้าโดนสงสัยว่ามีความพยายามจะยึดอำนาจ และถ้าถูกตัดสินว่าผิดจริง นอกจากจะถูกถอดจากตำแหน่งทันทีแล้ว ก็จะโดนประหารตามผู้สมรู้ร่วมคิดไปโดยเร็วอีกต่างหาก! เรื่องการเมืองนี่คือไม่ต้องมาร้องขอความเมตตาใดๆ ทั้งสิ้น!

 3  

ทำงานแค่ 6 ชั่วโมงต่อวัน แต่ต้องทำทุกคนนะ!

ชาวยูโทเปียนี่เขายึดมั่นในความเท่าเทียมกันอย่างแท้จริงเลยนะ เพราะไม่ว่าจะหญิงชายหรือเด็กผู้ใหญ่คนชรา ทุกคนต้องทำงานหมด! ตั้งแต่การเปลี่ยนกะกันไปทำไร่นานอกกำแพงเมือง หรือการทอผ้า หล่อเทียนไข หรือผลิตของอื่นๆ ที่ต้องใช้ภายในเมือง ทุกคนต้องทำงานหมด ต่อให้ไปเที่ยวข้างนอกหรือไปบ้านคนอื่น ถ้าอยู่ในเวลางาน แขกก็ต้องไปช่วยหยิบช่วยจับงานของบ้านนั้นๆ ด้วย

คนกลุ่มเดียวที่ได้รับการยกเว้นคือคนป่วยที่กำลังพักฟื้นอยู่ แต่ถ้าเป็นคนป่วยหรือแก่จนไม่สามารถทำงานได้ต่อไปแล้ว นักบวชและผู้นำชุมชนจะมาให้พรและให้เขากินยาให้หลับและตายไป เพราะชาวยูโทเปียเชื่อว่าถ้าไม่สามารถทำงานดูแลตัวเองได้แล้ว ชีวิตที่มีอยู่ก็ไม่มีค่าพอที่จะต้องมาทุกข์ทนต่อไป! แต่เพราะประชากรทุกคนในเมืองออกมาทำงาน ทำให้งานที่ต้องทำ เสร็จสิ้นเร็วกว่าประเทศอื่นๆ ที่มีกลุ่มที่ยกเว้นจากงาน เช่น ขอทาน ขุนนาง หรือไม่ให้ผู้หญิงทำงาน

เมื่อชาวยูโทเปียสามารถซ่อมบำรุงสาธารณูปโภค และผลิตสินค้าที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิตได้เพียงพอด้วยเวลางานเพียง 6 ชั่วโมงต่อวัน เวลาที่เหลือ ชาวเมืองก็จะใช้ไปกับการหาความสุขด้วยการพัฒนาตนเอง พวกเขาชอบอ่านหนังสือ ไปเข้าการอบรมในหัวข้อที่สนใจ หรือเล่นเครื่องดนตรีร่วมกัน แต่ถ้าใครมีความสุขกับงานของตัวเอง ก็สามารถที่จะทำงานนอกชั่วโมงงานที่กำหนดได้เช่นกัน

 4  

ออกเดินทางไม่ง่ายอย่างที่คิด ใครแอบหนีเที่ยวต้องโดนลงโทษ!

ชาวยูโทเปียไม่ค่อยมีเหตุให้ต้องออกเดินทางบ่อยนัก เพราะบ้านเมืองเหมือนกันทุกที่ ทำให้เราก็ไม่จำเป็นต้องไปเที่ยวบ้านอื่นจริงไหม 

แต่บางครั้งชาวยูโทเปียก็อาจจะอยากไปเยี่ยมญาติต่างเมืองบ้าง พวกเขาก็จะต้องไปขอให้ผู้นำชุมชนออกหนังสือเดินทางให้ และเมื่อได้หนังสือเดินทางแล้ว ผู้นำชุมชนก็จะจัดหาเกวียนและทาสพลขับให้ไปส่งยังจุดหมายเลย 

ขั้นตอนเหมือนจะง่าย แต่ถ้าเราไม่ทำตามจะโดนลงโทษหนักเลยเชียว เพราะการออกจากพื้นที่โดยไม่มีหนังสือเดินทางเป็นความผิดร้ายแรง ถ้าโดนจับได้ครั้งแรกจะโดนประจานอย่างหนัก ถ้ายังทำแบบเดิมซ้ำ ก็จะถูกลดขั้นไปเป็นทาสตลอดชีวิต! ถือว่าโหดร้ายมากๆ เลยล่ะ

 5  

ของกินของใช้ทุกอย่างฟรี! แต่ไม่มีใครหยิบเกินใช้หรอกนะ!

ก็ทุกคนทำงานเท่ากันหมด ของมันก็มีเหลือกินเหลือใช้ใช่ไหมล่ะ ทุกๆ บ้านก็จะเอาสินค้าที่ตัวเองผลิตออกมาเกินกว่าที่จะใช้ ไปรวมกันที่ตลาดไง แต่ไม่มีใครใช้เงินซื้อขายกันหรอกนะ ถ้าใครจะเอาอะไรก็หยิบไปได้เลย! 

บ้านเราทอผ้าเป็นผืนๆ ก็เอาไปส่งที่ตลาด ขากลับเราก็หยิบเข็ม หยิบข้าวที่บ้านอื่นทำมาส่ง กลับบ้านไปได้เลย เพราะทุกๆ คนมีส่วนร่วมในการทำงานของสังคมเท่าๆ กัน ทุกๆ คนจึงมีสิทธิ์ใช้สอยสิ่งที่ทุกคนสร้างมาได้ทั้งหมดไงล่ะ

แล้วในเมื่อของที่เราอยากใช้ก็จะรอคอยเราอยู่ตรงนั้นเสมอ แล้วเราจะมานั่งตุนกักเก็บสินค้าไปทำไมใช่ไหม ประเทศยูโทเปียก็เลยไม่มีหัวขโมย ไม่มีตลาดมืด ไม่มีพ่อค้าแม่ค้าหัวใสที่จะมาโก่งราคาหรือใส่สิ่งปนเปื้อนลงไปในสินค้า เพราะทุกอย่างมันฟรี!!!

  6  

เงินทองแทบไม่เคยใช้ เก็บไว้ทำส้วมกับตีตรวนทาสเท่านั้นแหละ!

แต่ถึงชาวยูโทเปียเขาจะไม่ใช้เงินกันในเมือง แต่ประเทศยูโทเปียกลับเป็นประเทศที่ร่ำรวยที่สุดในทวีปเลยนะ เพราะสินค้านำเข้าอย่างเดียวของชาวยูโทเปียคือแร่เหล็กเท่านั้น แต่สินค้าส่งออกมีมากมายเหลือเฟือ 

เพราะสินค้าทุกอย่างที่ชาวเมืองผลิต เขาทำใหม่กันทุกวันๆ มันเกินกว่าการใช้งานในประเทศมาก เขาก็เลยเอาส่วนเกินไปขายในราคาที่เป็นธรรม แถมถ้าไม่มีเงินจ่ายก็ติดยอดไว้ก่อนก็ได้ เดี๋ยวมีเงินค่อยคืน ประเทศยูโทเปียก็เลยมีทั้งเงินทองเหลือเฟือ มีทั้งประเทศลูกหนี้ที่ยกย่องและเกร็งใจเต็มไปหมด เรียกว่าทั้งรวยเพื่อนและรวยทรัพย์เลย

แล้วเงินทองเยอะแยะที่ชาวเมืองไม่ใช้นี่จะทำไงดีล่ะ ถ้าเอาไปเก็บไว้ลับๆ ก็อาจจะทำให้ชาวเมืองรู้สึกว่าทำไมตัวเองไม่มีส่วนร่วม ถ้าเอาไปทำของใช้ทั่วไป ชาวเมืองก็อาจจะยึดติดไม่อยากจะคืนให้ …งั้นทำส้วมละกัน

พวกเราพูดจริงๆ!! สาบานได้ เขาเอาไปทำกระโถนในบ้านที่เอาไว้เข้าห้องน้ำนี่แหละ!! นอกจากมันจะไม่เป็นรอยขีดข่วนเยอะแยะแล้ว เวลาขอคืนชาวบ้านเขาก็ไม่คิดอะไรมากด้วย 

อีกวิธีนึงก็คือเอาไปทำโซ่เพื่อตีตรวนทาส ใครดื้อด้านมากๆ ก็ลากโซ่ไปเลยหลายๆ เส้น ใครเป็นทาสชั้นดีก็ใส่แค่เป็นสร้อยกับมงกุฎให้รู้ว่าเป็นทาสก็พอ เวลาชาวต่างชาติมาเห็นเข้า ก็คืองงจนไปไม่เป็นเลยเชียว เพราะที่นี่ยิ่งใส่ทองเยอะเท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็นคนชั้นล่างมากขึ้นเท่านั้น!!

  7  

เมืองนี้ไม่มีคุก เพราะอาชญากรต้องกลายเป็นทาส!

กฎหมายเมืองยูโทเปีย ความจริงถูกเขียนมาให้ทั้งสั้นและเข้าใจง่ายในทุกๆ ข้อเลย ไม่ว่าจะเป็นการห้ามทำร้ายกัน ห้ามคุยการเมืองลับๆ ห้ามนอกใจกัน ถ้าใครผิดก็ต้องแก้ต่างเองไม่มีทนาย เพราะกฎหมายมันง่ายมาก แค่อ่านหนังสือออกก็อ่านกฎรู้เรื่องละ 

แล้วความผิดส่วนใหญ่ก็จะแค่ตักเตือน หรือเป็นหน้าที่พ่อใหญ่หรือแม่ใหญ่ในแต่ละบ้าน ที่เขาจะลงโทษลูกหลานตัวเอง แต่ถ้าเป็นความผิดร้ายแรงจริงๆ ก็ไม่มีคุกให้อยู่หรอกนะ แต่ก็คือโดนตีตรวนเป็นทาสไปเลยจ้า!

เอาจริงๆ ทาสในเมืองนี้ไม่ได้มีชีวิตลำบากนะ เพราะก็ได้กินอาหารดีๆ นอนผ้าห่มดีๆ เหมือนชาวเมืองนี่แหละ แต่หน้าที่ของทาสมักจะเป็นงานที่สกปรกหรือต้องใช้แรงเปลืองตัวซักหน่อย เช่น ฆ่าและชำแหละปศุสัตว์ ล่าสัตว์ เทกระโถนส้วมชาวบ้าน หรือขับเกวียนกับล้างคอกสัตว์ เป็นต้น  แถมถ้าทาสคนนั้นเป็นทาสชั้นดี เช่น คนต่างประเทศที่ยอมขายตัวมาเป็นทาส เขาก็จะไม่ต้องใส่โซ่ตรวนด้วยซ้ำ แค่มีเครื่องประดับเงินทองเพื่อระบุสถานะเท่านั้น และถ้าวันไหนอยากจะขอไถ่ตัวกลับบ้านก็ไปได้เลย ชิวๆ!

  8  

ใครหาเรื่องแม่จะฟาดด้วยเงิน! วิธีทำสงครามของชาวยูโทเปีย

ถึงแม้ชาวยูโทเปียเขาจะฝึกศิลปะการป้องกันตัวอย่างสม่ำเสมอ แต่การทำสงครามเป็นสิ่งสุดท้ายที่ชาวยูโทเปียจะยอมทำ เพราะพวกเขารังเกียจการรบราฆ่าฟันมนุษย์ด้วยกันมากที่สุด แต่ถ้าใครคิดจะมารุกรานกดขี่ชาวยูโทเปีย หรือประเทศไหนที่เป็นเพื่อนของเขาแล้ว ชาวยูโทเปียก็จะแก้ปัญหานี้ด้วยเงินทองอันเหลือเฟือของพวกนางนั่นเอง

ชาวยูโทเปียจะเริ่มจากการตั้งค่าหัวผู้นำทัพฝ่ายตรงข้ามด้วยราคาที่แทบจะไม่มีใครปฏิเสธได้ ส่วนใหญ่แค่นี้ปัญหาก็จะจบแล้ว เพราะชาวบ้านของศัตรูเขาจะไปเอาผู้นำมาขายให้ถึงที่เลย แต่ถ้าไม่ได้ผล ยูโทเปียก็จะจ้างทหารรับจ้างมาสู้แทน ก็ต่อเมื่อเข้าตาจนจริงๆ ชาวยูโทเปียถึงจะเรียกคืนหนี้สินจากประเทศอื่นๆ ในรูปของกองทหาร และส่งแม่ทัพชาวยูโทเปียไปคุมทหารเหล่านั้น ซึ่งต้องบอกเลยว่าชาวยูโทเปียไม่เคยแพ้สงครามเลยแม้แต่ครั้งเดียว!

   9  

จะเชื่ออะไรก็ได้แต่ต้องเชื่อ! เพราะคนไร้ศรัทธาจะไร้ที่ยืนในเมืองนี้!

ชาวยูโทเปียนี่เขาเปิดกว้างทางความเชื่อมากกก จะบูชาพระอาทิตย์ก็ได้ จะบูชาดวงดาวก็ได้ จะบูชาพระเจ้าสูงสุดเพียงหนึ่งเดียวก็ได้ แต่จะพูดว่าเมืองนี้มีเสรีทางความเชื่อก็ไม่ได้ซะทีเดียว เพราะมีหนึ่งความเชื่อที่ไม่ว่ายังไงก็ไม่ยอมรับเป็นอันขาด… คือการไม่ศรัทธาในอะไรทั้งสิ้นนั่นเอง

ชาวยูโทเปียเขากลัวว่า คนที่ไม่เห็นในความศักดิ์สิทธิ์ของจิตวิญญาณแห่งมนุษย์ ก็จะไม่เห็นคุณค่าในการใช้ชีวิตให้เป็นมนุษย์ ซึ่งจะทำให้คนนั้นๆ ไม่เห็นค่าของกฎหมายบ้านเมืองหรือการอยู่ร่วมกันในสังคม แต่ถึงแม้ยูโทเปียจะไม่อยากให้ใครเชื่อแบบนี้ แต่เขาก็จะไม่บีบบังคับให้คนนั้นๆ ไปเข้ารีตอื่นๆ หรอกนะ เพียงแต่นักบวชกับผู้นำชุมชนก็จะแวะเวียนมาบ่อยๆ เพื่อเกลี้ยกล่อมให้เปลี่ยนความคิดนั่นเอง