ขนมกุยช่าย คือหนึ่งในเมนูอาหารที่ชาวไทยเชื้อสายจีนหลายๆ คนต้องคุ้นชินกันมากที่สุดเมนูหนึ่ง เพราะไม่ว่าจะเป็นของว่างหรือของไหว้ ขนมกุยช่ายก็มักจะเป็นหนึ่งในเมนูที่ถูกสั่งเสมอ
แล้วถ้าวันนี้เราพูดถึงกุยช่ายขึ้นมา ภาพจำกุยช่ายของคุณคืออะไร
ในความทรงจำของผู้เขียน มันคืออาหารที่กินเเล้วผักจะติดฟัน หรือไม่ก็เป็นอาหารที่โดนลืมอยู่เสมอเวลามีไหว้เจ้า เพราะเรามักจะหันไปกินเป็ดหรือไก่ก่อน
จนกระทั่งผู้เขียนได้มาลองกินอาหารร้านนึง ที่ดูเหมือนร้านอาหารจีนทั่วไป แต่ใครจะไปคิดว่ามันคือคาเฟ่กุยช่าย! ซึ่งพอได้ลองกินแล้วถึงได้รู้ว่ากุยช่ายมันก็อร่อยเหมือนกันนะ และพอเจ้าของร้านเล่าประวัติของกุยช่ายร้านนี้ก็ยิ่งทึ่งเข้าไปใหญ่
เพราะฉะนั้นเราขอให้คุณลืมภาพกุยช่ายเก่าๆ เหล่านั้นออกไปให้หมด เพราะอย่างน้อยๆ นั่นก็ไม่ใช่กับร้านกุยช่ายที่เรากำลังจะเล่าให้คุณฟังต่อไปนี้ ลองมาดูกัน
ร้านกุยช่ายปกติ:
- ไม่มีที่ให้นั่ง ต้องซื้อใส่ถุง/กล่องโฟมกลับบ้าน พอกลับถึงบ้านก็ไม่อร่อยแล้ว
- มีแต่กุยช่ายอย่างเดียว ไม่มีเมนูอื่นๆ
- แป้งอย่างหนา ไส้อย่างน้อย
- ยอดขายอยู่แค่หลักสิบถึงหลักร้อยลูกต่อวัน
ร้านที่เรากำลังจะพาไปชม:
- มีหน้าร้านที่ตกแต่งในสไตล์ทันสมัยที่แฝงไปด้วยกลิ่นอายความเป็นจีนให้นั่งทานสบายๆ
- มีอาหารให้เลือกหลากหลายเพื่อนำมาจัดเป็นมื้อสุดพิเศษแบบครบ จบ ในที่เดียว
- ใช้สูตรที่เก่าแก่กว่า 50 ปี ทำให้แป้งบาง แต่ไส้เยอะ
- ยอดขายหลักหมื่นลูกต่อวัน และยังส่งออกไปทั่วโลก!
และร้านๆ นี้ก็คือ ร้านป๋าป้า เตี้ยมซิม ร้านกุยช่ายที่เปลี่ยนเมนูกุยช่ายธรรมดา ให้เป็นร้านอาหารและคาเฟ่ที่น่านั่ง อีกทั้งยังสร้างชื่อไปไกลถึงเมืองนอก เขาทำได้อย่างไร และป๋าป้า เตี้ยมซิมมีดีแค่ไหน วันนี้ LifeStory จะพาไปหาคำตอบกัน
จุดเริ่มต้น “ป๋าป้า เตี้ยมซิม”
ย้อนกลับไปเมื่อเกือบ 50 ปีที่แล้ว เดิมทีอาม่าของคุณต่าย (เจ้าของร้านคนปัจจุบัน) เปิดโรงงานขายกุยช่ายและเร่รถเข็นขายอยู่หน้าวัดกันตทาราราม ซึ่งคนส่วนใหญ่ในละแวกนั้นจะรู้จักกันดีในนามของ ‘กุยช่ายหน้าวัด’
จุดเด่นของกุยช่ายร้านนี้ คือเรื่องของความอร่อยและความพิถีพิถันในทุกลูก
“เราก็ใส่ใจตั้งแต่ต้นจนจบ อย่างตอนเตรียมวัตถุดิบ เราก็ต้องหาร้านประจำที่เขาคัดเลือกวัตถุดิบให้เรา เช่นมันแกวและเผือก ก็ต้องเลือกอันที่ร่วน ไม่แก่ หรือตอนหั่นผัก เราก็เลือกที่จะใช้มือหั่น เพราะจะกะความยาวได้ดีกว่าใช้เครื่องจักร” คุณต่ายกล่าว
ด้วยเหตุนี้เองกิจการของร้านกุยช่ายของอาม่าคุณต่ายก็ค่อยๆ เติบโตขึ้นเรื่อยๆ จากวันละ 1,000 ลูก ก็กลายเป็น 5,000 ลูก 10,000 ลูก โดยในช่วงพีคๆ ก็อาจจะถึง 20,000 ลูกเลยทีเดียว ขายดีจนถึงขั้นที่ห้างสรรพสินค้าชื่อดัง ต้องติดต่อมาเพื่อขอนำกุยช่ายเข้าไปวางจำหน่าย
ทว่าเมื่อเวลาผ่านไป อาม่าของคุณต่ายก็ได้เสียชีวิตพร้อมกับปิดกิจการขายกุยช่ายลง เนื่องจากในตอนนั้นยังไม่มีใครที่พร้อมจะมารับช่วงต่อ เหลือเพียงสูตรกุยช่ายโบราณนั้นไว้เป็นมรดกให้กับตระกูล
หลังจากนั้น 5 ปีคุณต่ายก็กลับมาจากการเรียนต่อต่างประเทศ พร้อมกับความคิดที่อยากจะทำธุรกิจเป็นของตัวเอง จากจุดนี้เองที่ทำให้คุณต่ายคิดได้ว่า “เรามีฝีมือในการทำกุยช่ายทั้งที ทำไมไม่นำออกมาใช้ หน้าร้านของเราก็ยังอยู่ในถิ่นตลาดพลูเหมือนเดิม น่าจะทำให้ขายได้ดี”
คุณต่ายจึงลองติดต่อหาลูกค้าเก่าๆ ที่เคยสั่งซื้อกับอาม่า และเดินสอบถามคนแถวตลาดพลู เพื่อสอบถามความคิดเห็น ผลปรากฏว่า ความคิดเห็นของทุกคนแทบจะไปในทางเดียวกัน นั่นก็คือ “กลับมาขายเลย อยากให้กลับมามาก”
คุณต่ายจึงตัดสินใจเปิดร้านกุยช่ายเจ้าเก่าเจ้าเดิมอีกครั้งแต่กลับมาในชื่อใหม่
ที่ชื่อว่า “ป๋าป้า เตี้ยมซิม” ซึ่งที่มาของชื่อร้านมาจากคำว่า ‘ป๋าป้า’ ที่แปลว่ากินอิ่ม และเตี้ยมซิมที่แปลว่าอาหารว่าง รวมกันจึงแปลว่าอาหารว่างที่กินอิ่ม
ซึ่งพอเปิดร้านได้วันแรกเท่านั้นแหละ ปรากฏว่าร้านแตก คนมาเต็มร้าน และมีคิวต่อยาวออกไปจนถึงถนนเลยทีเดียว จนถึงทุกวันนี้ร้านก็ขายดีมากจนของหมดตั้งแต่ช่วงเที่ยง แม้ว่าร้านจะปิด 5 โมงก็ตาม แถมยังมีส่งออกไปต่างประเทศอีกด้วย
กุยช่าย ย่านตลาดพลู
หน้าร้าน “ป๋าป้า เตี้ยมซิม” ปัจจุบันตั้งอยู่หน้าถนนเทอดไท แถวตลาดพลู ดีไซน์ของร้านจะมาในสไตล์จีน Modern
โดยภายในร้านตกแต่งด้วยโทนสีแดง ขาว น้ำเงิน สลับกัน ทางด้านซ้ายมือเป็นตู้กระจกใสที่มีกุยช่ายเรียงรายอยู่ พร้อมกับเตาทอดกุยช่ายที่ทอดโชว์ให้เห็นกันสดๆ ณ ตรงนั้น
ด้านขวามือเป็นกระจกที่ติดกับผนังทำให้บรรยากาศภายในร้านดูกว้างขึ้น และถัดเข้าไปข้างในจะมีภาพวาดพู่กันสีน้ำเงินเป็นรูปภาพเมืองเก่าย่านตลาดพลู
บรรยากาศภายในร้านโดยรวมจะให้ความรู้สึกเป็นกันเอง ซึ่งเป็นไปตามที่คุณต่ายวางไว้ตั้งแต่แรก เพราะเธออยากให้คอนเซปต์ร้าน เป็นอารมณ์เดียวกับการมานั่งคาเฟ่ ให้ผู้คนได้มาแวะกินข้าวกับเพื่อนๆ และนั่งคุยกัน
ตอนแรกที่เราก้าวเข้ามาในร้านๆ นี้ เราเข้ามาในฐานะลูกค้าธรรมดาคนหนึ่ง ไม่ใช่ในฐานะสื่อหรืออินฟลูเอนเซอร์แต่อย่างใด
สิ่งที่โดดเด่นและแตกต่างจากร้านอื่นๆ สิ่งแรกที่เราสังเกตเห็นก็คือ ‘การบริการ’
ระหว่างที่เรากำลังมองเมนูอยู่ มีไรเดอร์ส่งอาหารสองคนขับมอเตอร์ไซค์มาจอดที่ร้าน ถ้าเป็นร้านทั่วๆ ไปพวกเขาคงได้เพียงแค่นั่งรออาหาร แล้วก็กลับ แต่พนักงานของร้านแห่งนี้ กลับนำน้ำชาเย็นๆ วิ่งไปเสิร์ฟให้กับไรเดอร์
แม้อาจจะเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่เราเชื่อว่าการสร้างรอยยิ่มที่ชื่นใจแบบนั้นขึ้นมาได้ บางทีอาจจะเปลี่ยนวันธรรมดาๆ ของบางคน ให้กลายเป็นวันพิเศษได้เช่นกัน
เมื่อดูเมนูและสั่งอาหารเสร็จ เราก็หยิบคอมพิวเตอร์โน้ตบุ้คของเราขึ้นมา หวังจะนั่งทำงานระหว่างรออาหาร
“เดี๋ยวๆ ลูกค้าคนนั้นเขามีโน้ตบุ้ค โต๊ะตัวนั้นยังมีตรงที่เลอะอยู่ ไปเช็ดใหม่ให้เขาหน่อยๆ” เสียงของคุณต่ายดังขึ้น ในขณะที่เธอกำลังช่วยสอนอาม่าโต๊ะข้างหลังเราใช้แอพเป๋าตังในการจ่ายเงิน
ต้องบอกตามตรงว่า ตอนแรกเราไม่ได้สังเกตเห็นจุดที่เลอะนั้นด้วยซ้ำ และถ้าไม่ได้คุณต่ายช่วยเตือน โน้ตบุ้คคงอาจเลอะไปแล้ว
“เราต้องบริการทุกคนเหมือนดุจดั่งคนในบ้านเสมอ อย่างเช่น น้ำชาต้องเป็นอย่างแรกเลยที่ต้องเสิร์ฟให้เขา ไม่ว่าจะลูกค้าหรือไรเดอร์” คุณต่ายกล่าวยิ้มไปถึงแนวคิดในการบริการและน้ำชาที่ทางร้านจัดไว้บริการลูกค้าฟรีๆ
Signature Dish!
ถ้าวันนี้คุณคิดว่าร้าน Papa Tiamsim ขายแต่กุยช่ายละก็ บอกเลยว่าคุณคิดผิด เพราะที่นี่นอกจากเมนูอาหารอื่นๆ เช่น เผือกเปลือย เมนูข้าว เมนูเส้น และที่สำคัญที่นี่ยังมี Special Dish ประจำวัน โดยเมนูเหล่านี้จะเปลี่ยนไปในทุกๆ วัน ไม่ว่าจะเป็นข้าวหมูตุ๋น ก๋วยเตี๋ยวหลอด ข้าวคลุกกะปิ และของทานเล่นอื่นๆ อีกมากมาย ที่ขายดีไม่แพ้กัน
แต่ถ้าถามถึง Signature Dish ก็คงหนีไม่พ้นกุยช่ายอย่างแน่นอน
จุดเด่นของกุยช่ายที่นี่คือเรื่องของวัตถุดิบและความพิถีพิถัน
ในส่วนของวัตถุดิบ ทางร้านจะเลือกเฉพาะแต่ผักต้นอ่อน ไม่แก่ และนำผักออกมาล้างทีละก้านเพื่อทำความสะอาด ก่อนที่จะดึงไส้ของผักออก
ในส่วนของแป้ง ร้านแห่งนี้ก็จะไม่ใช้แป้งอเนกประสงค์เลย โดยจะเลือกใช้แต่แป้งมันและแป้งข้าวเจ้าเท่านั้น ซึ่งพอเครื่องผสมแป้งเสร็จก็ต้องนำมานวดมือต่อเพื่อให้มั่นใจว่าแป้งนั้นได้ที่แล้ว และสุดท้ายก็จะใช้มือปั้นกุยช่าย เพื่อให้จีบบนขนมกุยช่ายดูสวยงาม หากเอาไปเป็นของฝาก ก็จะดูดี น่ารับประทาน
กุยช่ายที่นี่จะแบ่งออกเป็นหลักๆ 4 ไส้ด้วยกัน ได้แก่ ไส้ผัก ไส้เผือก หน่อไม้ และมันแกว ซึ่งบอกเลยว่าทุกไส้ขายดีหมดเลย ตัวราคากุยช่ายจะอยู่ที่ชิ้นละ 10 บาท แต่เราสามารถเลือกแบบทอดได้ซึ่งจะเพิ่มเงินแค่ 2 บาทต่อชิ้นเท่านั้น
ตัวกุยช่ายจะเป็นแป้งแบบโบราณ ซึ่งบางและนุ่มมาก กินแล้วไม่หนักท้อง ในขณะเดียวกัน ทางร้านก็ให้ปริมาณใส้ที่เยอะกำลังดี และยังปรุงรสชาติโดยเน้นความเข้มข้น ไม่มีกลิ่นเหม็นเขียว ทำให้เมื่อนำมาทานคู่กับน้ำจิ้ม ก็จะทำให้ได้รสที่เปรี้ยว เค็ม หวาน และเผ็ดกำลังดี
อีกหนึ่ง Signature ของกุยช่ายคือตัวกุยช่ายสี่เหลี่ยม โดยทางร้านจะเรียกกันว่ากุยช่ายเเก้ผ้า ขายในราคาเพียงชุดละ 25 บาท ซึ่งบอกเลยว่ามาช้าอด! เพราะปกติหลังบ่ายโมงเป็นต้นไปของก็เริ่มทยอยหมดกันแล้ว!
โดยกุยช่ายแก้ผ้านี้ เน้นความกรอบนอกนุ่มในที่กำลังพอดี ในขณะเดียวกันก็ไม่อมน้ำมันอีกด้วย
เมนู “เผือกเปลือย” เป็นอีกเมนูยอดฮิตที่มีขายเเค่ป๋าป้าเตี้ยมซิมเท่านั้น ตัวอาหารจะเป็นเผือกขูดเส้นที่นำไปปรุงรสและผสมกับแป้งเพื่อให้สามารถปั้นเป็นก้อนกลมๆ ได้ ตัวเผือกเปลือยจะนำไปทอดในกระทะให้มีความเกรียมนิดๆก่อน เพื่อให้มีสัมผัสแบบกรอบนอกนุ่มใน ตัวรสชาติจะมีความเค็มเเละเผ็ดของพริกไทยเรียกได้ว่ารสชาติกลมกล่อม ซึ่งเมนูนี้ราคาเพียงชิ้นละ 15 บาทเท่านั้น
ส่วนเมนูอื่นๆ ก็ขายดีไม่แพ้กัน ยกตัวอย่างเช่น Special Menu of the Day ที่จะมาขายแค่วันนั้นๆ เท่านั้น เช่นวันจันทร์เป็นก๋วยเตี๋ยวหลอด หรือวันพฤหัสก็เป็นข้าวซี่โครงหมูตุ๋น
อาหารทั้งหมดนี้เป็นอาหารโฮมเมดแท้ๆ ฝีมือคุณแม่ของคุณต่าย ที่เป็นคนคิดสูตรขึ้นมาเองทั้งหมด ซึ่งรสชาติดีจนลูกค้าภายในร้านเดินมาบอกเองกับเราระหว่างการสัมภาษณ์เลย
ร้านนี้เหมาะกับใคร
โดยรวมแล้วร้าน Papa Tiamsim เป็นร้านที่เหมาะกับทุกเพศทุกวัย เพราะด้วยรายการอาหารที่หลากหลายทำให้ตอบโจทย์กับคนได้หลายกลุ่ม หรือคนที่มาแถวตลาดพลูและจะหา Comfort Food กินอยู่ก็แนะนำ
มากไปกว่านั้น ด้วยการตกแต่งที่ทันสมัย พร้อมที่ให้นั่งทาน และบรรยากาศที่เป็นกันเอง ทำให้ร้านนี้ก็เหมาะหากคุณกำลังหาสถานที่พบปะกับเพื่อนๆ หรือนั่งคุยผู้ใหญ่เช่นกัน
แต่สำคัญที่สุด ถ้าใครที่เป็นแฟนคลับของกุยช่าย ไม่ว่าคุณจะเป็นใครและอยู่ที่ไหนก็ตาม เราบอกเลยว่าต้องมาร้านนี้!
————————————————————————-
ร้าน Papa Tiamsim
Location : Talat Phlu, เขตธนบุรี กรุงเทพมหานคร 10600 (ป๋าป้า เตี้ยมซิม กุ่ยช่ายตลาดพลู)
Opening Hours : อังคาร-อาทิตย์ 07.00-17.00 (ปิดวันจันทร์)
