ร้านตัดแว่นลับแล ณ ชั้น 23
ทุกคนคงเคยได้ยินประโยค “Location is the key” หรือก็คือทำเลที่ตั้งร้านที่ดี จะทำให้ธุรกิจเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้มากยิ่งขึ้นและง่ายกว่าเดิม
ประโยคนี้แทบจะปรับใช้ได้กับทุกธุรกิจ รวมไปถึงธุรกิจร้านแว่นตาด้วย
นี่จึงทำให้เราเห็นร้านแว่นตาหลายๆ แบรนด์ พยายามวางตัวเองให้อยู่ในจุดที่เข้าถึงได้ง่าย มองเห็นได้สะดวก และหากเป็นไปได้ ก็จะพยายามเปิดสาขาใหม่ๆ มากมายให้กระจายอยู่ทั่วประเทศไทย
ขณะเดียวกัน ก็มีร้านแว่นตาแห่งหนึ่งที่ซ่อนตัวอยู่บนตึกสูงชั้น 23… อ่านไม่ผิดหรอกครับ ชั้น 23 ซึ่งเรียกได้ว่า ตามปกติแล้ว ที่แห่งนั้นแทบจะไม่มีใครเดินผ่านเลย
แต่ร้านแว่นตาแห่งนี้กลับมีคนทยอยเข้ามาใช้บริการอยู่เรื่อยๆ รวมกับการที่มีลูกค้าบางคน ยอมนั่งเครื่องบินมาจากต่างจังหวัด หรือกระทั่งต่างประเทศ เพียงเพื่อจะเดินทางมาเยี่ยมเยือนร้านแว่นตาแห่งนี้
ร้านแว่นตาแห่งนี้คือร้านอะไร เขาพิเศษตรงไหน เเละกว่าจะมาถึงจุดนี้เขาทำได้ยังไง วันนี้ LifeStory จะพาไปหาคำตอบกัน
กระโจนสู่สนามแม้เริ่มจากศูนย์
ย้อนกลับไปเมื่อ 30 ปีที่เเล้ว สมัยที่ iphone ยังไม่เกิด กระทั่งโลกของโซเชียลมีเดียก็ยังไม่บูม ในยุคนั้นครอบครัวของ “ กันต์ ธนัฐณ์ วิทย์ภิรมย์ ” ได้ทำธุรกิจค้าส่งให้กับแบรนด์แว่นตามากมาย ซึ่งด้วยความที่คู่แข่งในตลาดยังไม่ได้มีเยอะมากนัก จึงเรียกได้ว่าธุรกิจขายส่งแว่นตา มีความเป็นเสือนอนกินในยุคนั้นเลยก็ว่าได้
แต่แล้วยุคสมัยก็ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไป เพราะเมื่อธุรกิจแว่นตาในประเทศไทยเริ่มมีฐานลูกค้าที่เติบโตก้าวกระโดดขึ้นไปเรื่อยๆ ทางแบรนด์แว่นตาต่างประเทศหลายๆ แบรนด์ที่เคยขายส่งสินค้าผ่านธุรกิจที่บ้านของกันต์ ก็เริ่มอยากที่จะลงมาจับตลาดเป็นผู้เล่นในตลาดประเทศไทยเอง แบบไม่ผ่านบริษัทตัวกลางขายส่งอีกต่อไป
แน่นอนว่าเรื่องราวนี้ส่งผลกระทบสำหรับธุรกิจค้าส่งแว่นตามากๆ แต่ก่อนที่จะเริ่มหนักหนาไปกว่านั้น กันต์ที่เรียนจบในช่วงปี 2010 ก็ได้กลับมาช่วยที่บ้านบริหารและเริ่มคิดหาวิธีแก้ปัญหาต่อทันที
“กันต์คิดว่าจุดขายของธุรกิจนี้มันคือตัวแบรนด์ ไม่ใช่ความยั่งยืนทางธุรกิจตัวกลาง ถ้าเราไม่ปรับเปลี่ยน อยู่แบบนี้ต่อ สักวันเราต้องมีปัญหาแน่” นี่คือสิ่งที่กันต์คิดทันที
“ตอนนั้นกันต์ก็คิดต่อว่าเราควรทำอะไรดีที่จะต่อยอดได้ ซึ่งมันก็มีทางเลือกที่น่าสนใจและทำได้จริงไม่เยอะมาก หนึ่งในนั้นคือก็เปลี่ยนตัวเองมาเป็นร้านตัดแว่นเลย” กันต์เล่าต่อ
การตัดสินใจครั้งนี้ถือว่าเป็นความท้าทายใหม่ เพราะถึงทางบ้านของกันต์ทำธุรกิจค้าส่งแว่นตามานานกว่า 30 ปี แต่การทำร้านตัดแว่นตาถือว่าใช้คนละศาสตร์กันโดยสิ้นเชิง แถมประสบการณ์ที่เรียนและทำงานทางด้านการเงินมาก็ช่วยอะไรไม่ได้มากเลย
ตอนนั้นกันต์ก็แค่คิดว่า “ก็ลองดู”
ซึ่งมีสิ่งหนึ่งที่กันต์คิดมาตลอดคือ เราอยากจะทำร้านแว่นที่รู้สึกจริงๆ ว่านี่แหละคือร้านที่เราอยากจะเข้า นี่คือร้านที่เราอยากจะซื้อ และนี่คือร้านที่เรากล้าแนะนำเพื่อนๆ ให้มาตัดได้แบบเต็มปาก
เมื่อตัดสินใจได้แล้วว่าจะหันหัวเรือไปทางไหนต่อ รวมถึงรู้แล้วว่าตัวเองต้องทำอะไรเพิ่มเติม กันต์เลยเริ่มต้นเรียนอะไรหลายๆ อย่างจากศูนย์ไม่ว่าจะเป็นเรื่องแฟชั่น, ศิลปะ หรือสไตล์การออกแบบ เพื่อนำความรู้มาทำ Branding ให้คนจดจำได้
อย่างการตั้งชื่อแบรนด์ก็มีความนัยสอดแทรกอยู่ เพราะชื่อที่กันต์ตั้งขึ้นอย่าง “Occura” นั้น เป็นคำมาจากภาษาละติน ที่มีความหมายมาจาก Ocular (สายตา) และ Cura (การรักษา) เมื่อรวมกันแล้ว Occura จึงมีความหมายเสมือนเป็น “สถานที่ที่จะช่วยดูแลสุขภาพสายตาและการมองเห็นของทุกคน”
หลังจากที่มี Branding ชัดเจนเป็นรูปเป็นร่างแล้ว กันต์ก็เริ่มศึกษาเรื่องทัศนมาตรต่อทันที เพื่อเรียนรู้ระบบการมองเห็นการวิเคราะห์ค่าสายตาและการประกอบแว่นสายตาได้ถูกต้อง จะได้ดูได้ว่าแว่นที่เราจะส่งมอบให้ลูกค้าแต่ละชิ้น แก้ปัญหาได้จริงไหม ผ่านมาตรฐานที่ควรจะเป็นรึยัง
ไม่หยุดอยู่เพียงแค่นี้ เพราะกันต์ยังคงพยายามหาความรู้เรื่องอื่นๆ อยู่ตลอดอย่างไม่ย่อท้อ ทั้งให้บริษัท supplier มาช่วยให้ข้อมูลเพิ่มเติมบ้าง ไปนั่งอ่านสิทธิบัตรเกี่ยวกับเลนส์แว่นบ้าง
“โชคดีที่เราจบเศรษฐศาตร์มาด้วย เเละเรื่องค่าสายตาพวกนี้มันก็คือตัวเลข พอทุกตัวมันสัมพันธ์กัน มีความเป็นเหตุเป็นผลกัน เราเลยจูนติดกันง่าย” กันต์เล่าไปยิ้มไป
ท้ายที่สุดคือเรื่องทำเลที่ตั้ง ซึ่งด้วยความที่ Occura เป็นธุรกิจที่ใหม่ กันต์เลยตัดสินใจใช้พื้นที่ในบริษัทขายส่งของที่บ้าน มาเปิดเป็นร้าน Occura สาขาแรก
และนี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นของ Occura ร้านตัดแว่นสุดไพรเวทที่ปลีกวิเวกและซ่อนตัวอยู่บนตึกชั้น 23 ณ ใจกลางกรุง
รีโนเวทความใส่ใจครั้งใหญ่แบบพิเศษใส่ไข่
หลังจาก Occura เริ่มเปิดร้านแล้ว บททดสอบแรกที่ทางร้านต้องเผชิญ นั่นก็คือการทำให้ลูกค้ารู้จักแบรนด์และยอมเปิดใจให้เขามาลองใช้บริการที่ร้านให้ได้ เพราะการที่ร้านตัดแว่นหน้าใหม่ ที่ทั้งทำเลตั้งอยู่บนตึกสูงชั้น 23 ทั้งการที่ไม่มีรีวิวมาก่อนเลย มันก็แอบยากที่จะทำให้ลูกค้าไว้วางใจ ซึ่งจากความตะกุกตะกักในหลายๆ ปัจจัย จึงส่งผลให้ภายในช่วง 6 เดือนเเรก ทางร้านไม่มีลูกค้าใหม่จากช่องทางออนไลน์เข้าร้านเลยแม้แต่คนเดียว นอกจากลูกค้าเก่าที่คุณพ่อ คุณแม่เคยดูแลเรื่องแว่นสายตาให้
“ถามว่าผมหนักใจไหมในช่วงนั้น..หนักใจมาก” กันต์ตอบ
ซึ่งตอนนั้นทางร้านก็ได้ทำทุกวิถีทาง สู้ทุกรูปแบบเพื่อหาทางเปิดใจลูกค้าใหม่ ทั้งโปรโมทผ่านช่องทางออนไลน์อย่างเว็บไซต์และเฟสบุ๊ก ทำคอนเทนต์อธิบายความรู้เพื่อเสริมสร้างความเชื่อมั่น เชิญชวนให้มาลองใช้บริการจริงที่ร้าน ติดต่อลูกค้าเก่า รวมถึงบอกต่อเพื่อนๆ ทุกคน
จนในที่สุดก็มีลูกค้าคนแรกเข้ามา และเมื่อมีคนแรกแล้ว คน 2..3..4..และคนถัดๆ ไปก็มีเข้ามาเรื่อยๆ
“แต่มีลูกค้าอยู่คนนึงที่ผมจำได้ไม่ลืม เพราะเขาทำให้ Occura เข้าใจและเกิดจุดเปลี่ยนสำคัญขึ้นมา คนคนนั้นก็คือเพื่อนของแม่ผม ” กันต์กล่าว
ตอนนั้น Occura ก็ดูแลลูกค้าทุกคนตามมาตรฐานปกติทุกอย่างตั้งเเต่ต้นจนจบ รวมถึงเพื่อนของแม่กันต์ด้วย ซึ่งกันต์ก็มั่นใจมากว่า ถ้าเป็นเรื่องของแว่นตา ทาง Occura นั้นจัดเต็มเรื่องมาตรฐาน และยึดถือในคุณภาพไม่ด้อยไปกว่าใครแน่นอน
สุดท้ายเเล้ว เพื่อนของแม่คนนั้นก็กลับไปพร้อมกับการสั่งตัดแว่น 1 ออเดอร์ ซึ่งก่อนกลับก็ฝากประโยคนึงไว้
“ถึงร้านสวยขนาดไหน ของดีแค่ไหน ก็ต้องบริการให้ถูกใจ ไม่งั้นคนไม่ซื้อนะ”
ประโยคสั้นๆ เพียงไม่กี่คำ ทำให้กันต์ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า ที่ผ่านมาเราเอาแต่คิดว่าลูกค้าจะต้องตัดแว่นกับ Occura เพราะผลิตภัณฑ์ของเรานั้นคุณภาพดีและมาตรฐานเลิศเลอ แต่สิ่งที่เราหลงลืมไป นั่นก็คือหัวใจด้านการบริการที่ดีและความใส่ใจในทุกประสบการณ์ สิ่งเหล่านี้สำคัญไม่แพ้คุณภาพของสินค้าเลย
ถ้าไม่ใช่เพื่อนแม่ แล้วเขาจะซื้อไหมนะ? แล้วอะไรคือการบริการถูกใจและไม่ถูกใจล่ะ? นี่คือคำถามที่ผุดขึ้นมาในหัวกันต์
“ตอนนั้นกันต์ก็นึกย้อนกลับไปถึงคำสอนของอาจารย์ศิลปะท่านหนึ่ง เขาเคยถามกันต์ว่า รู้ไหมอะไรเป็นสิ่งที่แตกต่างระหว่างศิลปินระดับดาวินชีกับศิลปินทั่วไป”
“คำตอบคือ..รายละเอียด”
สิ่งนี้เองที่เป็นเหมือนประกายไฟเล็กๆ ที่จุดให้ Occura ได้เปลี่ยนวิธีการทำธุรกิจทันที
ซึ่งอย่างแรกที่ปรับ คือการเอาตัวเองไปนั่งอยู่ในใจลูกค้า กันต์คิดจำลองเผื่อไปในทุกวิถีทาง ตั้งแต่วันที่ลูกค้าเปิดใจขึ้นมาที่ชั้น 23 จนถึงตอนที่ลูกค้าโบกมือบ๊ายบายและเดินหันหลังกลับเข้าไปในลิฟต์ ว่าเขาจะต้องเจออะไร เขาจะรู้สึกยังไง และเราจะเข้าไปช่วยลูกค้าตรงไหนได้บ้างไหม เพื่อให้ลูกค้าได้สัมผัสประสบการณ์ที่ดีถูกใจที่สุดเมื่อมาเยือน Occura ในแต่ละครั้ง
กันต์เริ่มคิดตั้งแต่ การมีบริการรถรับส่งลูกค้าในกรณีที่ลูกค้าเดินทางมาด้วย MRT เพราะกลัวลูกค้าจะเหนื่อย และไม่ว่าลูกค้าจะเดินทางมาด้วยรถยนต์ส่วนตัวหรือวิธีไหน ถ้าหากหาทางมาไม่ถูก ทางร้านก็จะส่งทีมลงไปพาขึ้นมาที่ร้านและรอพากลับไปส่งที่ MRT หรือลานจอดรถเลย
เมื่อเดินมาถึงหน้าร้านแล้ว ก็ไม่ต้องกลัวเลยว่าจะทำอะไรต่อไม่ถูก เพราะเราจะได้เจอกับพี่พนักงานที่จะเข้ามาทักทายเราตั้งแต่หน้าประตูพร้อมทั้งพาทัวร์เพื่อแนะนำทุกอย่างภายในร้าน อีกทั้งยังไม่ลืมที่จะนำ “น้ำอร่อย” Signature Drink เย็นๆ ของทางร้านมาเสิร์ฟให้ชื่นใจอีกด้วย
กันต์ออกแบบทุกองค์ประกอบภายในร้านอย่างพิถีพิถัน เพื่อสร้างบรรยากาศภายในร้านให้มีความ สงบและอบอุ่น โดยเน้นใช้เฟอร์นิเจอร์และโทนสีสไตล์โมเดิร์น/มินิมอลที่ไม่ทำให้ลูกค้าอึดอัด แต่ให้ชิลๆ เหมือนมาเดินชมพิพิธภัณฑ์ มาเจอเพื่อนแทน
ซึ่งการออกแบบนี้ ก็ลงดีเทลไปถึงขั้นประตูที่ใช้เข้าโซนห้องน้ำและโซนออฟฟิศ ซึ่งเป็นประตูที่วัสดุกลืนไปกับผนังเลย ทั้งนี้ก็เพื่อให้เวลากวาดตามองไปมา จะไม่มีอะไรรบกวนประสบการณ์ภายในห้องแว่นแห่งนี้ได้
“และหนึ่งอย่างที่ผมบอกทีมงานเสมอคือ KPI เป้าหมายของที่นี่ไม่ใช่เรื่องยอดขาย แต่คือ การทำให้ลูกค้ารู้สึกดีและพอใจในทุกครั้งที่เดินออกจากร้านเราต่างหาก” กันต์เล่าต่อว่า ลูกค้าไม่ใช้บริการของเราในวันนี้ก็ไม่เป็นไร ขอแค่เขาได้คำตอบจากเราในฐานะ Primary Eye Care Providers ว่าจะดูแลดวงตายังไงต่อ ก็ถือว่าเราได้เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้ดวงตาของเขากลับมามองเห็นได้ดีขึ้นแล้ว หากมีวันใดที่เขาต้องตัดแว่นสายตาและนึกถึงเรา Occura ก็จะพร้อมรับช่วงต่อและเริ่มดูแลเขาอีกครั้งทันที
แน่นอนว่าทั้งหมดที่ทำมา แม้จะมีอุปสรรคมากมาย แต่ผลจากการที่ค่อยๆ พัฒนาอย่างต่อเนื่อง จึงส่งผลให้ปัจจุบันเป็นร้านที่ลูกค้าแนะนำบอกต่อปากต่อปากกันมาเยอะมากๆ
กฎเหล็กสำคัญ
“แล้วอันนี้ร้าน Occura มีสาขาที่ไหนอีกไหมครับ”
“ตอนนี้กันต์อยากมีแค่สาขาเดียวก่อนครับ จะได้ดูแลสายตาลูกค้าได้อย่างที่ตั้งใจไว้”
กันต์เล่าให้เราฟังว่า สิ่งสุดท้ายที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ ประสบการณ์ของลูกค้าที่จะเกิดขึ้นในช่วงระหว่างการวัดค่าสายตาและการตัดแว่น ซึ่งเป็นส่วนที่สำคัญมาก เพราะนี่คือจุดที่โชว์ให้ลูกค้าเห็นถึงคุณภาพ ความใส่ใจ รวมถึงความเป็นมืออาชีพของร้านตัดแว่น Occura
จากจุดนั้น กันต์จึงได้ลองคิดต่อว่า แล้วอะไรบ้างที่จะบ่งบอกและนำเสนอถึงความเป็นมืออาชีพของ Occura ได้ดีที่สุด?
หลังจากคิดกลั่นกรองอย่างดี กันต์จึงแบ่งออกเป็น 2 กฎเหล็กที่เปรียบเสมือนหัวใจสำคัญของร้านที่ต้องทำไปแบบควบคู่กันเสมอ หนึ่งคือ ผู้เชี่ยวชาญที่ร้าน Occura ต้องเชี่ยวชาญในเรื่องระบบการมองเห็นจริงๆ และสองคือ เทคโนโลยีที่นำมาใช้ ต้องตอบโจทย์ทุกปัญหาหรือความต้องการของลูกค้าได้จริงเช่นกัน
ไม่ใช่แค่พูด แต่กันต์ลงมือทำตามกฎเหล็กที่ยึดถือไว้จริงๆ เพราะที่ Occura นั้นมีนักทัศนมาตร (หมอสายตา) ที่พร้อมจะให้คำปรึกษาแบบ One On One เพื่อให้ทุกคนได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุด ซึ่งถ้าถามว่านักทัศนมาตรต้องเชี่ยวชาญขนาดไหน ก็คงเปรียบได้กับแพทย์เฉพาะทางที่เรียนด้านระบบการมองเห็นมาโดยเฉพาะ เพื่อที่จะตรวจวัดและวิเคราะห์ค่าสายตาสำหรับตัดแว่นได้อย่างเหมาะสม แน่นอนว่าย่อมมีความรู้และประสบการณ์ที่มากกว่า รวมไปถึงเข้าใจการใช้งานในอุปกรณ์ที่ใช้ตรวจวัดสายตาได้อย่างละเอียดกว่า
นอกจากจะมีนักทัศนมาตรผู้เชี่ยวชาญแล้ว เทคโนโลยีของ Occura เองก็จัดเต็มในเรื่องประสิทธิภาพไม่แพ้กัน อย่างเครื่องวัดสายตาที่ร้านใช้ก็คือเครื่อง WAM (Wave Analyzer Medica) ซึ่งเป็นเครื่องวัดสายตา ที่เพียบพร้อมไปด้วยฟังก์ชันการใช้งานที่สามารถวิเคราะห์ได้ทั้งค่าสายตาพื้นฐาน, ค่าสายตาเชิงลึกทั้งสภาวะกลางวัน และกลางคืน, กายวิภาคของดวงตา รวมถึงสุขภาพตาเบื้องต้น
“กันต์มองว่าข้อมูลความละเอียดที่เครื่องนี้ให้ได้ ถ้ามันทำให้เราดูแลสุขภาพดวงตาของลูกค้าได้อย่างละเอียดเพิ่มขึ้นอีก ผมว่ามันก็คุ้มที่จะลงทุนเพื่อให้ลูกค้าของเราได้ประโยชน์มากที่สุด”
การมีเครื่องมือที่ไฮเทคก็ย่อมช่วยให้ได้ข้อมูลที่เจาะลึกมากกว่า และเมื่อนำมาประกอบรวมกับความเชี่ยวชาญ และความสามารถที่นักทัศนมาตรของ Occura มี ก็ยิ่งทำให้วิเคราะห์ค่าสายตาออกมาได้อย่างเหมาะสมและแม่นยำยิ่งขึ้น
เพราะในบางกรณีที่ลูกค้าเริ่มมองไม่เห็น ดูไม่ชัด หรือมีปัญหากับสายตา ซึ่งอาจเกิดขึ้นจากสุขภาพของร่างกายได้ วิธีการแก้ปัญหาที่ถูกจุดอาจจะไม่ได้จบลงที่การตัดแว่น นักทัศนมาตรของ Occura ก็จะแนะนำ ให้ไปปรึกษาแพทย์เฉพาะทางเพื่อรักษาสุขภาพร่างกาย ในส่วนที่ส่งผลกระทบกับระบบการมองเห็นที่มีปัญหาก่อนน่าจะดีกว่าทำการตัดแว่นในตอนนี้
การดูแลสายตาให้ได้วิถีชีวิตที่ดีกลับมา
“ถ้าให้คุณกันต์ยกตัวอย่างเคสที่เคยดูแลให้ฟังได้ไหมครับ” ผมถามออกมา
“อืม…ถ้างั้นผมขอเล่าเคสที่ชาเลนจ์ แล้วก็ได้ช่วยลูกค้าแก้ปัญหาสายตาจริงๆ ละกันครับ” กันต์ตอบกลับและเริ่มเล่า
“เคยมีเคสนึง ลูกค้าท่านนี้ทำงานเกี่ยวกับงานเอกสาร ทำให้ต้องอยู่หน้าคอมเป็นเวลานานมากๆ ในแต่ละวัน สาเหตุที่อยากมาตัดแว่นใหม่ เพราะรู้สึกว่าแว่นสายตาตัวเดิมที่ใช้ในปัจจุบัน ไปๆ มาๆ มองระยะไหนๆ ก็ไม่ชัดแล้ว ปัญหาตรงนี้ก็เริ่มรบกวนการทำงานมากขึ้นเรื่อยๆ
“เมื่อเราได้ตรวจวิเคราะห์ค่าสายตาอย่างละเอียดจึงพบว่า การมองเห็นของตาทั้งสองข้างของลูกค้านั้น มีความคมชัดที่ต่างกันมากเกินไป สมองจึงเลือกรับภาพจากตาข้างที่ชัดกว่าเป็นหลัก ส่งผลให้ลูกค้ามองไม่เห็นความชัดลึก ชัดตื้นและภาพสามมิติ เพราะมีเพียงตาข้างเดียวที่ทำงานเป็นหลัก”
โดยปกติแล้ว คนเราจะรับรู้ภาพสามมิติได้จากการที่ตาทั้งสองข้างเห็นภาพคมชัดพอๆ กัน ถ้ามีข้างใดข้างหนึ่งทำงานอยู่ข้างเดียวเฉกเช่นลูกค้าท่านนี้ ก็จะทำให้เขารับรู้มิติความชัดหรือความลึกของภาพได้น้อยลงมากๆ จนไม่เห็นเป็นภาพ 3 มิติเหมือนคนทั่วไปนั่นเอง
“หลังจากแก้ไขค่าสายตาให้ความชัดกลับมาใกล้เคียงกันทั้งสองข้างแล้ว ยังพบว่าลูกค้ามีภาวะกล้ามเนื้อตาทำงานไม่สัมพันธ์กัน โดยเมื่อมองด้วยตาข้างเดียวทีละข้าง จะมองเห็นได้คมชัด ภาพไม่ซ้อน แต่เมื่อเปิดตาสองข้างใช้งานพร้อมกันแล้ว กลับพบว่าเห็นเป็นภาพซ้อนขึ้นมาแทน
“อย่างเคสนี้เราก็ดูแลแก้ปัญหาโดยการใช้เลนส์ปริซึม เพื่อให้สามารถรวมภาพได้อย่างสมบูรณ์ที่สุด และเลือกโครงสร้างเลนส์ระดับสูงของประเทศญี่ปุ่นที่ Customize ค่าสายตาเฉพาะบุคคลมาช่วยเรื่องการปรับตัว ” กันต์เล่าพร้อมเปิดภาพประกอบให้ดู
ซึ่งระหว่างที่ฟังกันต์พูด ผมก็ลองหลับตาหนึ่งข้างไปด้วย แล้วก็พบว่าเป็นจริงอย่างที่เขาพูดเลย การรับรู้เรื่องความตื้น ลึก ของวัตถุมันแย่ลงจริงๆ
“แล้วเคยมีเคสไหนไหมที่เราภูมิใจกับมันมากที่สุด” ผมถามต่อ
“อีกเคสนึงที่กันต์รู้สึกภูมิใจมากๆ และจำไม่เคยลืมเลยคือ ตอนนั้นมีลูกค้าที่รู้จักแบรนด์ Occura ของเรา ผ่านทางออนไลน์ หลังจากได้อ่านบทความและข้อแนะนำต่างๆ เขาก็ตัดสินใจมาตัดแว่นกับเรา”
ซึ่งเหมือนตามปกติ ไม่ว่าจะลูกค้าเป็นใคร Occura ก็ยังคงทำทุกอย่างตามมาตรฐานที่ยึดไว้ ไม่ว่าจะวิเคราะห์ค่าสายตา ตัดแว่น หรือกระทั่งดูแลลูกค้า กันต์และทีมพนักงานทุกคนก็ยังคงให้บริการอย่างสุดความสามารถ เหมือนที่ทำมาโดยตลอด
จนพอมาถึงวันที่ลูกค้านัดรับแว่น เราก็รู้สึกดีใจ เพราะรับรู้ได้ถึงความพอใจของเขาที่แสดงออกมาผ่านสายตา เมื่อยามได้ลองสวมใส่และพบว่าแว่นที่ตัดกับ Occura ทำให้สบายตาแบบที่รู้สึกได้ทันทีไม่ทำให้ปวดตาจริงๆ
แต่แล้วก็มีสิ่งที่คาดไม่ถึงเกิดขึ้น เพราะจู่ๆ ลูกค้าก็เขียนจดหมาย ความยาวกว่าสองหน้ากระดาษ A4 ส่งมาให้ที่ร้าน โดยมีใจความหลักๆ พูดถึงประสบการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นตั้งแต่เข้ามาที่ร้านจนได้รับแว่นเสร็จเรียบร้อย
“จดหมายฉบับนั้น..เป็นสิ่งที่กันต์ภูมิใจมากๆ คือมันไม่ใช่แค่เพราะเขาเขียนมาชื่นชม แต่เพราะมันเป็นการยืนยันได้ว่างานที่เราตั้งใจทำ มันมีคุณค่า และสามารถช่วยคนหนึ่งคนให้กลับมาใช้สายตาในชีวิตประจำวันได้สะดวกสบายมากขึ้น เปลี่ยนชีวิตไปในทางที่ดีได้จริงๆ”
ซึ่งปัจจุบัน จดหมายฉบับนี้โดนเก็บไว้บนเว็ปไซต์ของ Occura ให้ทุกคนสามารถเข้าไปอ่านเนื้อหาเต็มๆ ของจดหมายได้ที่นี่เลย
Occura ร้านตัดแว่นที่ไม่มีวันหยุดพัฒนา
หลังจากสัมภาษณ์จบ สิ่งหนึ่งที่ผมรู้สึกและเชื่อว่าหลายๆ คนที่อ่านบทความนี้ ก็คงจะรู้สึกเหมือนกัน
นั่นก็คือ Occura ไม่ใช่เพียงแค่ร้านที่ขายแว่นตาเท่านั้น แต่เป็นร้านที่ช่วยแก้ปัญหาสายตาแบบครบวงจรให้กับคุณ โดยลูกค้าทุกคนที่เข้ามาในร้าน ไม่ใช่เพียงเพราะเขาแค่อยากได้แว่นตาใหม่ แต่เราต้องมองลงไปให้ลึกว่าเขาอยากได้การมองเห็นและวิถีชีวิตที่ดีกว่าเดิม
แน่นอนว่าความสำเร็จของ Occura ในวันนี้ไม่ใช่เพราะโชคช่วย แต่เป็นเพราะความตั้งใจที่ไม่เคยหยุดพัฒนา ไม่ว่าจะด้าน Product หรือ Service ที่ทางกันต์และพนักงานทุกคนทุ่มเต็ม 100 เพื่อให้มันออกมาดีที่สุดอยู่เสมอ
ภายในระยะเวลา 5 ชั่วโมงที่ได้พูดคุยกับกันต์และได้ทดลองใช้บริการตรวจวัดสายตาของ Occura สำหรับผมแล้ว มันเปรียบเสมือนการที่เราเดินทางไปนั่งคุยกับเพื่อนที่เป็นหมอสายตาผู้เชี่ยวชาญในการตัดแว่น โดยที่เพื่อนเองก็พร้อมจะพูดคุยกับเราได้ทุกเรื่องๆ จะเรื่องสายตา เรื่องการใช้ชีวิต หรือเรื่องใดๆ ก็ตาม จนรู้สึกว่าเออนี่แหละ เขาเข้าใจวิถีชีวิตและความต้องการในแบบที่เราเป็นเราจริงๆ
ถ้าวันนี้ผมอยากพาครอบครัวหรือคนที่รักมาตัดแว่น Occura คงเป็นหนึ่งในร้านตัดแว่นที่ผมนึกถึงเป็นร้านแรกๆ แน่นอน
“สิ่งที่ทำให้เราแตกต่างคือ ความใส่ใจในรายละเอียด”
– ธนัฐณ์ วิทย์ภิรมย์ –