1
อาชีพที่ไม่ควรมีรอยสัก
ก่อนอื่นเราจะพาเพื่อนๆ มาลองเช็กกันก่อนเลยว่าอาชีพการงานที่เพื่อนๆ สนใจหรืออยากทำจะมีข้อห้ามเกี่ยวกับรอยสักหรือไม่ ซึ่งอาชีพหลักๆ ที่ไม่ควรมีรอยสักก็คืออาชีพเกี่ยวกับราชการนั่นเอง เช่น ตำรวจ อัยการ ผู้พิพากษา แพทย์ พยาบาล หรืออาชีพบริการอย่างอาชีพพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินก็เช่นกัน (แต่บางสายการบิน สามารถมีรอยสักในร่มผ้าได้น้า)
โดยส่วนใหญ่อาชีพที่ไม่ควรมีรอยสักมักจะเป็นอาชีพราชการ อาจมีอนุโลมมีรอยสักในร่มผ้าได้ แต่นอกร่มผ้าไม่ควรมีหรือห้ามมีเด็ดขาด อย่าลืมเช็กให้ดีก่อนสักน้าาา แต่จริงๆ ยุคใหม่ก็อยากให้ร่างกาย My Body, My choice กันทุกคนนะ เพราะข้าราชการประเทศอื่นก็สามารถสักได้
2
เลือกรอยสักที่ถูกใจตำแหน่งสักที่ใช่
ถ้าเรื่องรอยสักไม่ได้มีผลกับอาชีพที่เราอยากทำแล้วละก็ต่อไป ไปเลือกลายสักกันต่อเลย ซึ่งเราขอแนะนำว่าถ้าเพื่อนๆ คิดจะสักแล้วก็ควรเลือกลายที่คิดว่าจะสามารถชื่นชมลายสักนั่นไปได้ตลอด ดูทั้งเรื่องของความหมายลายสักให้ดีก่อนสักด้วยจะดีมาก และที่สำคัญเราต้องเลือกตำแหน่งการวางลายสักให้ดี ว่าจะชอบไหมถ้าจะสักตำแหน่งนั้น และที่สำคัญแต่ละตำแหน่งระดับความเจ็บต่างกันด้วย ยิ่งเป็นตำแหน่งที่มีผิวหนังน้อยและใกล้กระดูกเวลาสักก็จะยิ่งเจ็บมาก เช่น ใบหู นิ้วมือ ข้อเท้า
3
เลือกช่างสักที่มีความเชี่ยวชาญ
การสักลายเป็นหนึ่งในศิลปะ ซึ่งถ้าเราจะสักการเลือกช่างสักก็เหมือนเลือกศิลปินงานศิลป์คนหนึ่ง เราจะต้องเลือกช่างสักหรือศิลปินที่เราชอบลักษณะลายเส้นการสักของเขา และต้องดูความเชี่ยวชาญในการสักของเขาด้วย อย่าดูรีวิวหรือผลงานที่ดีอย่างเดียว ต้องดูรีวิวที่เป็นแง่ลบด้วยว่าเขาทำงานผิดพลาดมากน้อยแค่ไหน และมีการรับผิดชอบกับลูกค้ายังไง เรื่องความเชี่ยวชาญเป็นสิ่งสำคัญถึงแม้ถ้าเราสักแล้วได้ลายไม่ตรงตามที่ต้องการจะสามารถลบหรือแก้ได้ก็จริง แต่นั้นจะทำให้เราต้องเสียเวลาและเสียเงินเพิ่มด้วย เลือกช่างสักที่ทำดีจบในครั้งเดียวเลยจะดีกว่า
4
อุปกรณ์เครื่องมือต้องสะอาด
หนึ่งในสิ่งสำคัญก่อนที่เราจะไปสักครั้งแรกคือต้องตรวจสอบเช็กให้ดีก่อนว่าร้านที่เราจะไปสักหรือช่างที่เราจะไปสักด้วยใช้อุปกรณ์ที่มีคุณภาพและสะอาดหรือเปล่า เพราะถ้าใช้อุปกรณ์ที่ไม่ดีไม่มีการทำความสะอาดเครื่องมือใดๆ หรือไม่มีการฆ่าเชื้อเข็มสัก อาจทำให้เราเสี่ยงติดเชื้อจากการสักได้ เพราะฉะนั้นความสะอาดและคุณภาพของเครื่องมืออุปกรณ์ต่างๆ เป็นเรื่องสำคัญที่เพื่อนๆ จะต้องตรวจเช็กให้ดีก่อน
5
ใจพร้อมแล้วร่างกายต้องพร้อมด้วย
สิ่งสำคัญมากๆ ก่อนที่เราจะไปสักเลยคือต้องเตรียมร่างกายให้พร้อม ซึ่งสิ่งที่ควรทำเลยคือต้องพักผ่อนให้เพียงพอไม่ควรสักตอนที่ร่างกายยังป่วยอยู่ ไม่ทำกิจกรรมที่หนักมากจนทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย และอีกหนึ่งสิ่งที่ควรทำคืองดดื่มแอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่
สำหรับผู้ที่มีประจำเดือนได้ เราขอแนะนำว่าไม่ควรสักตอนที่มีประจำเดือนอยู่นะ เพราะการมีประจำเดือนทำให้ร่างกายอ่อนเพลียได้เช่นกัน ซึ่งถ้าร่างกายเราไม่พร้อมเลือดจะดันออกมาทำให้การสักลายลำบาก ทำให้ร่างกายต่อต้านและเพิ่มความเจ็บให้ร่างกายมากขึ้น เพราะฉะนั้นก่อนสักอย่าลืมดูแลสุขภาพร่างกายให้ดีด้วยน้าาา
6
อย่าลืมเตรียมผิวก่อนสัก
การดูแลผิวหลังสักว่าสำคัญแล้ว การดูแลผิวก่อนสักก็สำคัญไม่แพ้กัน ซึ่งก่อนไปสักเราขอแนะนำให้เพื่อนๆ อย่าตากแดดบ่อย ไม่ควรให้ผิวโดนแดดเยอะ ไม่ควรอาบแดดเด็ดขาด เพราะจะทำให้ผิวแห้งและสักติดค่อนข้างยาก เราขอแนะนำให้เพื่อนๆ ดูแลผิวบำรุงผิวให้มีความชุ่มชื่นซึ่งจะช่วยให้สักติดค่อนข้างง่ายขึ้น อาจจะเป็นการทาครีมบำรุงหรือทามอยส์เจอไรเซอร์ก่อนไปสักอย่างน้อย 1 สัปดาห์จะดีมากๆ กิจกรรมไหนที่ต้องโดดเยอะๆ ก็อาจจะต้องเลี่ยงก่อน
7
การดูแลรักษารอยสักหลังสักเสร็จ
ถ้าเพื่อนๆ ได้ตัดสินใจที่จะสักแล้ว และรู้วิธีเตรียมร่างกายเตรียมผิวก่อนสักไปแล้ว ต่อมาเราจะขอแนะวิธีดูแลรอยสักหลังสักเสร็จที่เพื่อนๆ ควรรู้กันต่อเลย เพราะสีจะติดดีไม่ดีเนี่ยก็ขึ้นอยู่กับวิธีดูแลหลังสักเสร็จด้วยน้าาา ซึ่งหลังสักเราควรงดกิจกรรมที่ทำให้เหงื่อออกงดดื่มแอลกอฮอล์ประมาณ 7 วัน พยายามอย่าให้ฟิล์มเปิดออก ถ้าฟิล์มเริ่มเปิดให้หาพลาสเตอร์มาติดขอบเลย ถ้าแกะฟิล์มออกแล้วก็สามารถใช้น้ำเกลือทำความสามารถบริเวณที่สักได้เลย แล้วซับๆ ทำความสะอาดให้ดี และทาครีมสมานแผลให้เรียบร้อย
8
วิธีลบรอยสัก
การสักแล้วได้ลายไม่ตรงปก หรือการไม่ชอบลายสักเก่าเเล้วเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ ซึ่งปัจจุบันเราสามารถลบรอยสักถาวรได้แล้ว ซึ่งวิธีลบรอยสักถาวรที่คนนิยมใช้กันในปัจจุบันก็คือการลบรอยสักด้วยเลเซอร์ วิธีนี้จะทำให้เราเป็นแผลเป็นและมีรอยได้น้อยที่สุด แต่ก็อาจจะร่องรอยหลงเหลืออยู่ได้บ้าง หรือถ้าเพื่อนๆ แค่อยากปกปิดรอยสักชั่วคราวก็สามารถใช้รองพื้นหรือเมคอัพช่วยปกปิดได้
9
ลายสักอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามเวลา
ข้อสุดท้ายที่เราอยากบอกเพื่อนๆ เลยก็คือเมื่อเวลาผ่านไปลายสักของเราอาจไม่เหมือนวันแรกที่ออกจากร้าน สีของลายสักสามารถซีดไปตามกาลเวลาได้ รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ของลายสักการสามารถค่อยๆ จางหายไปได้เช่นกัน ซึ่งถ้าเราอยากได้สีแบบวันแรกเลยก็อาจต้องมีการเติมสีบ้าง ซึ่งสิ่งเหล่านี้มันก็แปรเปลี่ยนไปตามธรรมชาติ ต่อให้ช่างเก่งแค่ไหนก็ต้องยอมรับว่าลายสักของเราไม่สามารถเป็นเหมือนวันแรกไปได้ตลอด