ต้อนรับเดือนมีนานี้ถือเป็นเดือนสตรีโลก ถ้าคุณคิดว่าในสมัยนี้ ผู้หญิงต้องคอยเลี้ยงดูลูก อยู่บ้านทำงานบ้าน บอกเลยว่าคิดผิดมหันต์ เพราะโลกเราปัจจุบันนี้ ผู้หญิงหลายคนหาเลี้ยงตัวเองด้วยลำแข้งไม่แพ้ผู้ชายแต่อย่างใด
สมัยก่อนเราก็เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า ผู้หญิงต้องคอยรักนวลสงวนตัว ทำเพียงหน้าที่ภรรยาผู้ภักดี แต่ตอนนี้ไม่ใช่เลย เพราะทุกเพศทุกวัย สามารถเท่าเทียมกันได้หมดแล้ว ผู้หญิงทุกคนในตอนนี้จึงถือเป็น power of women ที่สามารถยืนด้วยตัวเองอย่างสง่างามไม่แพ้ผู้ชายเลย
วันนี้พวกเรา Lifesara จึงอยากนำข้อคิดดีๆ และ คำคมผู้หญิง จากผู้นำหญิง ที่เป็นซุปเปอร์วูแมนและได้ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้นำของประเทศต่างๆ มานำเสนอมุมมองของพวกเธอ ที่กว่าจะได้การยอมรับจากคนทั่วโลกนั้น พวกเธอต้องข้ามผ่านความยากลำบากมาไม่น้อย จนสุดท้ายพวกเธอก็สามารถเฉิดฉาย กลายเป็นคนที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นที่สุดของสตรี เอาเป็นว่าเราไปดูกันดีกว่าว่าจะมี คำคมผู้หญิง จากผู้นำหญิงของใครบ้างนะ ที่สามารถเปลี่ยนมุมมองคุณได้ตลอดกาลล
1
Jacinda Kate Laurell Ardern
จาซินดา อาร์เดิร์น
“แม้แต่โรคร้ายที่น่ารังเกียจที่สุดก็สามารถอยู่รอดได้ในที่ๆ มันไม่เป็นที่ต้อนรับ ส่วนการเหยียดเชื้อชาติมันก็อยู่ในสังคมเราได้ แม้ว่าเราจะไม่ต้องการมัน เพราะพวกเราไม่มีภูมิคุ้มกันต่อความเกลียดและหวาดกลัวต่อผู้ที่มีความแตกต่าง พวกเราไม่เคยมีภูมินั้น แต่เราจะเป็นประเทศแรกที่ค้นพบการรักษา ไม่ให้เกิดการเหยียดเชื้อชาติได้”
“Even the ugliest of viruses can exist in places they are not welcome. Racism exists, but it is not welcome here. Because we are not immune to the viruses of hate, of fear, of others. We never have been. But we can be the nation that discovers the cure.”
มาคำคมจากผู้นำหญิงคนแรกก็ว้าวแล้ว จาซินดา อาร์เดิร์น นายกรัฐมนตรีหญิง จากนิวซีแลนด์ ที่กำลังมาแรงมากก เพราะเธอสามารถพาประเทศนิวซีแลนด์ก้าวฝ่าวิกฤตต่างๆ มามากมาย จนเธอกลายเป็นหนึ่งในผู้นำที่ยิ่งใหญ่อันดับต้นๆ ของโลก ที่มีทั้งความเมตตา มีความเห็นอกเห็นใจ แต่เธอกลับแข็งแกร่ง แม้จะผ่านเสียงวิพากษ์วิจารณ์มามาก แต่ในที่สุดเธอก็สามารถกลายเป็นผู้หญิงที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก
โดย คำคมผู้หญิง จากผู้นำหญิงของคุณจาซินดา ที่กล่าวมาข้างต้นเนี่ยย เธอรู้ว่าไวรัสร้ายก็คล้ายการเหยียดเชื้อชาติ เพราะการเหยียดไม่มีใครห้ามให้เกิดขึ้นได้ ไวรัสก็เช่นเดียวกัน การเหยียดจึงถือเป็นการทำร้ายเสรีภาพของคนใดคนหนึ่ง ที่เขาพยายามใช้ชีวิตปกติในวัฒนธรรมที่เขานับถือมา เพียงแต่สิ่งที่เขานับถือกลับกลายเป็นสิ่งที่คนบางกลุ่มไม่ให้การยอมรับ จึงเป็นสาเหตุเรื่องความรุนแรงตามมาในประเทศของเธอ
ด้วยเหตุนี้ เลยทำให้เธอไม่ชอบเป็นอย่างมาก แต่เธอก็ห้ามไม่ได้เพราะถ้าทุกคนมีภูมิคุ้มกันเรื่องการปกป้องตัวเองเหมือนกันหมด บางคนก็คงไม่ต้องมานั่งหวาดกลัว คนที่เหยียดเชื้อชาติแบบนี้ ในฐานะที่เธอเป็นผู้นำ เธอจึงพยายามหาวิธีช่วยเหลือให้มากที่สุด โดยพยายามสร้างความน่าเชื่อถือ พยายามทำให้ทุกอย่างเป็นเสรีภาพ จนในที่สุดเธอก็สามารถค้นพบวิธีรักษา หรือลดความรุนแรงสำหรับเรื่องนี้ในประเทศของเธอได้สำเร็จ
Cr.pic : Newzild, New Zealand Prime Minister Jacinda Ardern in 2018, CC BY-SA 4.0
2
Sanna Mirella Marin
ซันนา มารีน
“ความแข็งแกร่งของสังคมไม่ได้วัดจากความมั่งคั่งของสมาชิกที่ร่ำรวยที่สุด แต่วัดจากพลเมืองที่ยากจนที่สุดว่าจะสามารถรับมือได้ดีเพียงใด คำถามที่เราต้องถามคือทุกคนมีโอกาสที่จะมีชีวิตที่ดีและสง่างามหรือไม่”
“The strength of a society is measured not by the wealth of its most affluent members, but by how well its most vulnerable citizens are able to cope. The question we need to ask is whether everyone has the chance to lead a life of dignity.”
มาถึง คำคมผู้หญิง จากผู้นำหญิงคนที่สองโดย ซานนา มาริน นายกรัฐมนตรีฟินแลนด์ กับสถิตินายกรัฐมนตรีอายุน้อยที่สุดในโลก ที่มีแนวคิดในการผลักดันเรื่อง “ความเสมอภาค ความยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน” สำหรับประเทศของเธอ แน่นอนว่าการที่เธอได้เป็นนายกหญิง นั้น ทำให้เธอถูกเสียงวิพากษ์วิจารณ์มากพอควร แต่เธอกลับไม่ยอมแพ้แม้แต่น้อย จนปัจจุบันทุกเพศทุกวัยต่างให้การยอมรับเธอในที่สุด
โดยคำคมจากผู้นำหญิงอย่างเธอเนี่ย เธออยากสื่อถึงเรื่องฐานะสังคมในประเทศ เธอได้กล่าวว่า ความแข็งแกร่งของสังคม รวมถึงประเทศของเธอ มันไม่ได้วัดจากความมั่งคั่งของคนที่ร่ำรวยในประเทศอย่างเดียว แต่มันวัดจากคนที่อ่อนแอด้วยต่างหาก เพราะถ้าคนอ่อนแอหรือยากจน ได้มีโอกาสที่ดีพร้อมไม่แพ้กับคนร่ำรวย คิดดูสิว่าประเทศจะน่าอยู่ขึ้นแค่ไหน นี่แหละจึงจะเรียกได้ว่าสังคมแห่งความแข็งแกร่ง
นับว่าเป็นคำที่ต้องการได้ยินจากนายกประเทศไทยสุดๆ ไปเลยย
Cr.pic : Laura Kotila, valtioneuvoston kanslia, Prime Minister of Finland Sanna Marin 2019 (cropped), CC BY 4.0
3
Angela Merkel
อังเกลา แมร์เคิล
“คนบางคนอาจจะก้าวเดินไปทีละเล็กทีละน้อย ออกเดินช้าๆ อย่างมั่นคงแต่บางคนก็อาจจะก้าวยาวขึ้น เพื่อที่จะประสบความสำเร็จได้โดยเร็วและไม่ว่าใครก็ตาม ก็อาจจะเสี่ยงที่จะก้าวไปในทางที่ผิด หรือเดินไปแล้วพลาดได้ ซึ่งจริงๆ แล้ว สิ่งที่สำคัญคือมันไม่เกี่ยวว่าเราก้าวออกไปสั้นๆ หรือยาวแค่ไหน แต่มันคือการที่เราตั้งเป้าหมายเอาไว้อย่างมั่นคงและชัดเจนมากแค่ไหนต่างหาก”
“One can remain more sure-footed by taking small steps, but perhaps achieve greater speed by taking bigger steps. Of course, one also runs the risk of setting out in a completely erroneous direction. Surely the important thing isn’t the length of our steps, but that the objective is clear.”
มาถึงคำคมที่ 3 จากอังเกลา แมร์เคิล อดีตนายกรัฐมนตรีเยอรมนีสุดแข็งแกร่ง ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้เพิ่มอิทธิพลให้ประเทศ และส่งผลให้ตัวเลขการว่างงานลดลงเกือบครึ่งหนึ่งในระหว่างที่เธอดำรงตำแหน่ง นับว่าเธอเป็นผู้หญิงคนแรกเลยก็ว่าได้ ที่สามารถต่อกรกับทรัมป์ได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ นอกจากนี้ โอบามาก็ยังชอบเธอมากอีกด้วย
คำที่เธอได้กล่าวมาข้างต้น เป็นเหตุการณ์เรื่องการโต้เถียงสำหรับนโยบายต่างๆ และฐานการเงินของประเทศ โดยเธอต้องการดำเนินนโยบายแก้ไขปัญหาต่างๆ ด้วยขั้นตอนที่ฉลาดอย่างรอบคอบ ซึ่งแนวคิดของคือเธอต้องการก้าวเพียงเล็กๆ แต่ให้เดินไปอย่างมั่นคง และบางครั้งก็อาจจะเพิ่มความเร็วด้วยก้าวที่ใหญ่ขึ้น
แต่ไม่ว่าจะก้าวไปทางไหนด้วยความเร็วแบบไหน ก็อาจเกิดความเสี่ยงที่จะก้าวไปในทางที่ไม่ควรได้อยู่แล้ว ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนี้นั้นไม่ได้สำคัญอะไรหรอก เพราะถึงแม้จะผิดยังไง แต่หากสุดท้าย เป้าหมายปลายทางของเรามันชัดเจนแน่อยู่แล้ว นั่นแหละคือคือสิ่งที่สำคัญ
Cr.pic : © Raimond Spekking / CC BY-SA 4.0 (via Wikimedia Commons), Angela Merkel 2019 cropped, CC BY-SA 4.0
4
Tsai Ing-wen
ไช่อิงเหวิน
“ประชาธิปไตยไม่ใช่แค่การเลือกตั้ง แต่มันเป็นชีวิตประจำวันของเรา”
“Democracy is not just an election, it is our daily life.”
มาถึงผู้นำคนที่ 4 ไช่อิงเหวิน นายกหญิงคนแรกที่สมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีของไต้หวัน โดยเธอเป็นเหมือนแสงสว่างของชาวไต้หวันเลย เนื่องจากเธอนั้น ถือว่าเป็นนายกที่มีจุดยืนด้านเสรีภาพและประชาธิปไตยชัดเจน และกล้าเผชิญหน้ากับแผ่นดินใหญ่อย่างประเทศจีน แบบไม่เกรงกลัว นี่จึงเป็นจุดเด่นของเธอที่สามารถครอบครองตำแหน่งมาถึงการเลือกตั้งครั้งที่ 2 ได้
ซึ่งสำหรับเธอแล้ว ประชาธิปไตยไม่ใช่เป็นแค่การเลือกตั้งเพียงเท่านั้น แต่ยังเป็นเหมือนชีวิตประจำวันของเราเลยก็ว่าได้ เพราะถ้าหากว่าเราสามารถใช้ความคิดพินิจให้ถูกให้ควร เลือกตัดสินในสิ่งที่ถูกต้อง ยุติธรรม ส่งต่อความคิดหลักการดีๆ ไปสู่รุ่นลูกรุ่นหลาน เพื่อที่พวกเขาจะเติบโตมาได้อย่างมีคุณภาพ ในอนาคตคนเหล่านี้ก็อาจจะเป็นคลื่นลูกใหม่ ที่ทำให้ประเทศมีความก้าวหน้าขึ้นก็ว่าได้
และเชื่อว่าในวันข้างหน้า ประชาธิปไตย จะช่วยให้ประเทศเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอน ถ้าหากทุกคนมีประชาธิปไตยเป็นสายเลือด
5
Kamala Harris
คามาลา แฮร์ริส
“การมองในแง่ดีเป็นเชื้อเพลิงขับเคลื่อนทุกการต่อสู้”
“Optimism is the fuel driving every fight”
มาถึงผู้นำคนที่ 5 ผู้สร้างประวัติศาสตร์เป็นชาวผิวสีและเอเชียคนแรก ที่ได้รับตำแหน่งรองประธานาธิบดีสหรัฐหญิงคนแรก เธอเป็นเหมือนแสงจุดประกายความหวัง ให้กับหญิงสาวที่อยากทำงานทางการเมือง รวมทั้งเธอยังมีจุดยืนด้านทางสายกลาง จนกลายเป็นที่รักของประชาชน นอกจากนี้เธอยังให้ความใส่ใจกับสวัสดิการด้านสุขภาพและยึดมั่นในกฎหมายมากด้วย
ซึ่งสิ่งที่เธอกล่าวข้างต้น เป็นคำพูดที่ทำให้เธอไม่เคยยอมแพ้ จนสามารถขึ้นมายืนอยู่บนสภาได้อย่างสง่างามด้วยแนวคิดที่ว่า การมองในแง่ดีเป็นเชื้อเพลิงขับเคลื่อนทุกการต่อสู้ ใช่แล้ว เพราะการมองโลกในแง่ดีเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เธอค่อยๆ ขึ้นไปถึงจุดสูงสุดได้นั่นเอง ดังนั้นแม้ในบางเรื่อง อาจจะยากไปบ้าง แต่ว่าถ้ามองในแง่ดี และมองถึงผลกระทบในอนาคตที่ตามมา มันอาจเป็นเรื่องดีๆ สำหรับเราก็ได้
6
Katrín Jakobsdóttir
คาตริน ยาคอปสโตว์ทีร์
“นักการเมืองหญิงหลายคนในไอซ์แลนด์คงไม่มีวันมาถึงจุดนี้ได้ หากไม่ใช่เพราะสิทธิจากการลาคลอดเพื่อไปเลี้ยงลูก ฉันจึงเป็นตัวอย่างที่ดีเยี่ยมในเรื่องนี้”
“Many female politicians in Iceland would never have got where we are today if it wasn’t for childcare and parental leave. I am an excellent example of that.”
มาถึงคนที่ 6 คาตริน ยาคอป นายกรัฐมนตรีหญิงจากไอซ์แลนด์ สุดไฟแรงที่สามารถแก้ปัญหาวิกฤตโควิดไปได้อย่างยอดเยี่ยม โดยไม่ต้องกักตัวหรือปิดโรงเรียน แม้เชื้อไวรัสจะระบาดก็ตาม
ซึ่งคำพูดของเธออาจดูไม่มีอะไรเป็นพิเศษ แต่เธออยากสื่อให้หลายๆ คนเข้าใจว่า กว่าจะได้เป็นนักการเมืองหญิงได้ ต้องถูกคำครหามามากนับจนไม่ถ้วน แต่สำหรับเธอแล้ว สิ่งที่ทำให้เธอได้มายืนอยู่จุดนี้ได้ ก็เพราะการเลี้ยงดูของครอบครัว ที่คอยสนับสนุนแม้ในเรื่องยากๆ แต่ครอบครัวก็ยังคอยอยู่ข้างๆ ในยามที่ลำบากและให้กำลังใจ
ซึ่งนี่จะเห็นได้ว่า ครอบครัวเป็นจุดเริ่มต้นของคนเลยก็ว่าได้ เพราะถ้าหากที่บ้านสั่งสอนมาดี พร้อมสนับสนุนในทุกๆ ทางที่เขาอยากไป ไม่คาดหวังหรือไปซ้ำเติมอะไรที่ไม่ควร เด็กในวันข้างหน้าก็อาจประสบความสำเร็จในรูปแบบที่เขาชอบได้ในที่สุด
Cr.pic : Arild Vågen, Katrín Jakobsdóttir at Göteborg Book Fair 2012 03 (cropped), CC BY-SA 3.0
7
Theresa Mary May
เทเรซ่า เมย์
“ที่ที่เหมาะสมสำหรับผู้ที่ทุกข์ทรมานจากปัญหาสุขภาพจิต คือเตียงนอน ไม่ใช่ห้องขังคุกและคนที่เหมาะสมในการดูแลพวกเขาคือผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ตำรวจ”
“The right place for a person suffering a mental health crisis is a bed, not a police cell. And the right people to look after them are medically trained professionals, not police officers.”
มาที่คนที่ 7 เทเรซ่า เมย์ อดีตนายกรัฐมนตรีหญิงคนที่สองในประวัติศาสตร์การเมืองอังกฤษ ที่สามารถลดการก่ออาชญากรรมในประเทศได้
โดยเมย์เป็นคนที่คนอังกฤษให้ความสนใจมาก นอกจากเรื่องที่เธอทำผลงานต่างๆ แล้ว เธอยังเป็นคนที่ชอบแฟชั่นเป็นอย่างมาก และก็ยังเป็นนักสะสมรองเท้าส้นสูงหลากหลายแบบ ทำให้เธอเป็นนายกหญิงที่อาจจะดูเข้มๆ แต่ก็จริงๆ ก็คือมีความเป็นกันเองสุดๆ ซึ่งคำพูดของเธอเนี่ย เธอต้องการพูดถึงอาชญากรรมในประเทศ ที่มีทั้งผู้ร้าย รวมถึงผู้ที่ทุกข์ทรมานจากจิตใจ จนเกิดอาการทำร้ายผู้อื่น
ซึ่งจุดนี้ทำให้เธอนึกสงสัยเป็นอย่างมากว่า ทำไมต้องจับคนเหล่านั้นเข้าคุกด้วย เพราะว่าพวกเขากำลังมีความทุกข์ทรมาน ดังนั้นพวกเขาควรได้อยู่ที่เตียงนอน เพื่อรับการรักษา ไม่ใช่ห้องขังที่อาจทำให้สภาพจิตใจเขาเลวร้ายไปมากกว่านี้ได้อีก และคนที่ควรดูแลพวกเขาไม่ใช่ตำรวจ แต่เป็นแพทย์ที่เชี่ยวชาญทางด้านสุขภาพมากกว่า นี่จึงเป็นสิ่งที่ทำให้ประชาชนรู้สึกเห็นด้วยเป็นอย่างมาก เพราะพวกเขาต้องการคนเยียวยาไม่ใช่คนซ้ำเติมนั่นเอง
8
Halimah yacob
ฮาลีมะห์ ยะกู๊บ
“ความยากลำบากไม่ใช่และไม่เคยเป็นอุปสรรค ฉันคิดว่าถ้าชีวิตของฉันง่ายขึ้นมากกว่านี้ ฉันคงจะไม่ได้มาอยู่ในจุดนี้ที่ฉันเป็นอยู่ แต่เพราะชีวิตของฉันนั้นยากลำบาก นั่นจึงทำให้ฉันต้องเรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่าง นั่นจึงทำให้ฉันเรียนรู้ที่จะอยู่รอด”
“Hardship should never be a deterrent. I think probably if my life had been a lot easier, I would not be where I am. But because my life was tough, that’s why I learnt so many things, I learnt to survive.”
มาที่คนสุดท้ายกันดีกว่า จาก ฮาลีมะพ์ ยะกู๊บ อดีตประธานาธิบดีหญิงคนแรกแห่งสิงคโปร์ ที่มีจุดยืนด้านพหุวัฒนธรรม และความหลากหลายทางเชื้อชาติในสังคม ที่เธอให้การต้อนรับเป็นอย่างดี ถึงแม้เธอจะลงจากตำแหน่งแล้ว แต่เธอก็ยังมีความรักและความมุ่งมั่นในการช่วยประชาชนในสิงค์โปร์
ซึ่งเธอเป็นคนนึงที่เรียกได้ว่า ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมาย จนเธอสามารถออกมาพูดได้เลยว่า ความยากลำบากนั้นมันไม่ควรเป็นอุปสรรค เพราะความยากลำบากที่ว่านั้น มันทำให้เธอได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่าง ทำให้ได้เข้าใจผู้คนมากที่สุด และเธออยากขอบคุณความยากลำบากที่ผ่านเข้ามา ที่ทำให้การเป้นประธานาธิบดีเป็นเรื่องง่ายสำหรับเธอ