ปัจจุบันมี Platform ดูหนัง/ซีรี่ย์ออนไลน์ แบบสตรีมมิ่ง อยู่มากมายให้พวกเราได้เลือกกันอย่างจุใจ แต่หนึ่งใน Platform ชื่อดังตลอดกาลที่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า เราได้ยินคุ้นหูคุ้นตามากที่สุดในปัจจุบัน ก็คงไม่พ้นชื่อของ Netflix นั่นเอง โดย Netflix นั้น เรียกได้ว่าเป็น Platform ที่รวบรวมหนัง/ซีรี่ย์ที่ครอบคลุมทุกหมวดหมู่ทุกแนวทุกประเภทเอาไว้ เช่น สารคดี ซีรี่ย์เกาหลี ซีรี่ย์จีน ซีรี่ย์ญี่ปุ่น ซีรี่ย์ไทย รวมถึงภาพยนตร์ชื่อดังหลากหลายสัญชาติ!
ในปี 2022 นี้ แม้ว่าหลายๆ คนจะรู้จัก Netflix อยู่แล้ว แต่ก็ยังมีมือใหม่ที่สนใจอยากจะสมัคร Netflix เป็นของตัวเอง หรือสมัครเพื่อให้ดูกันในครอบครัวได้อย่างจุใจกันอยู่เรื่อยๆ โดยหากใครยังไม่มั่นใจว่าเราจะโอเคกับแพลตฟอร์มนี้ไหม เขาก็มีโปรแกรมให้เราทดลองดูฟรีได้ ถึง 30 วัน! ถ้าไม่ถูกใจก็ไม่ต้องใช้งานต่อ แต่ถ้าชอบก็ลุยต่อเลยยย
ซึ่งกลับมาในส่วนของการสมัครนั้น มือใหม่หลายคนอาจจะสงสัยว่า การสมัคร Netflix จะยุ่งยากมากไหมนะ? ต้องใช้อะไรในการสมัคร? เขามีแพ็กเกจอะไร แล้วแต่ละแพ็กเกจราคาแตกต่างกันเท่าไหร่บ้าง? วันนี้พวกเรา LifeSara เลยได้รวบรวมวิธีการสมัคร Netflix ให้ทุกคนได้รู้กันง่ายๆ ครบจบใน 4 ขั้นตอน จะเป็นยังไง เดี๋ยวเราไปดูกันเล้ยยย
นอกจาก 5 ซีรี่ย์/หนังที่เราแนะนำแล้ว เรายังมีลิสต์รายการที่น่าดูอีกเพียบ ใครอยากรู้ว่าหมวดอื่นๆ มีเรื่องไหนน่าสนใจ คลิกอ่านต่อด้านล่างนี้ได้เลยย
– 15 อนิเมะน่าดู สุดปัง ที่แฟนอนิเมะควรได้ดูสักครั้งในชีวิต!
– รวม 6 ซีรีส์ภาษาอังกฤษใน Netflix ดูเพลิน ๆ ไม่มีเบื่อ
– รวม 21 หนัง Studio Ghibli น่าดูใน Netflix
3
วิธีสมัคร Netflix (3) : การเลือกแพ็คเกจ
ขั้นตอนถัดมาถือเป็นขั้นตอนที่สำคัญมาก นั่นก็คือการเลือกแพ็คเกจ ซึ่งจุดเด่นของทาง Netflix ที่เขาได้การันตีเอาไว้จะมีหลักๆ 3 ข้อ นั่นก็คือ
1. ไม่มีข้อผูกมัด สามารถยกเลิกได้ทุกเมื่อที่ต้องการ
2. ไม่ว่าจะจ่ายในเรทราคาไหน ก็สามารถรับชมหนัง/ซีรีย์ได้ทุกเรื่อง
3. ไม่มีโฆษณาและค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
โดยจะมีแพ็คเกจให้เลือกด้วยกัน 4 แบบ นั่นก็คือ
- แพ็คเกจ 99 บาท/เดือน
นี่เป็นแพ็คเกจเริ่มต้นในราคาย่อมเยา ซึ่งเราสามารถรับชมหนัง/ซีรี่ย์ได้ในมือถือหรือแท็บเล็ตเพียง 1 จอเท่านั้น แต่จะไม่สามารถดูได้ในคอมพิวเตอร์และทีวีได้ โดยแพ็คนี้จะมีความละเอียดวิดีโอสูงสุดที่ 480p เหมาะสำหรับสายประหยัดที่ชอบใช้ดูในมือถือหรือแท็บเล็ตนั่นเอง - แพ็คเกจ 279 บาท/เดือน
นี่เป็นแพ็คเกจที่เราสามารถดูซีรี่ย์ได้ทุกอุปกรณ์ ไม่ว่าจะเป็นมือถือ, แท็บเล็ต, ทีวี หรือคอมพิวเตอร์ เพียงแต่เราจะสามารถ login ได้แค่อุปกรณ์เดียวเท่านั้นนะ จะ login ซ้อนไม่ได้ ซึ่งแพ็คนี้จะมีความละเอียดวิดีโอสูงสุดอยู่ที่ 480p โดยในมุมของ LifeSara พวกเราแนะนำว่าแพ็คนี้ยังไม่ค่อยคุ้มเท่าไหร่เมื่อเปรียบเทียบกับ Package ถัดๆ ไปที่น่าจะคุ้มค่ากว่า - แพ็คเกจ 349 บาท/เดือน
แพ็คเกจนี้สามารถรับชมได้ทุกอุปกรณ์ ไม่ว่าจะเป็นมือถือ, แท็บเล็ต, ทีวี และคอมพิวเตอร์ รวมถึงยังสามารถ login พร้อมกันได้ 2 อุปกรณ์ นั่นหมายความว่า แพ็คนี้สามารถแชร์กันกับคนอื่นได้ ที่สำคัญยังมีความคุ้มค่าอีก 1 อย่างเพิ่มเติมด้วยนะ ก็คือแพ็คนี้ เราสามารถรับชมวิดีโอที่ความละเอียดสูงถึง 1080p (Full HD) ซึ่งคุ้มมากสำหรับคนที่มีสมาชิกให้แชร์ด้วยจำนวนไม่กี่คน - แพ็คเกจ 419 บาท/เดือน
แพ็คเกจสุดท้าย ซึ่งเป็นแพ็คเกจที่พรีเมียมที่สุดใน Netflix แพ็คนี้จะสามารถดูพร้อมกันได้สูงสุดถึง 4 หน้าจอในทุกอุปกรณ์ เรื่องภาพก็ยังคงคมชัด มีความละเอียดสูงอยู่ที่ 4K HDR (Ultra HD) เหมาะมากสำหรับการแชร์กับเพื่อนหรือดูกันในครอบครัว เรียกได้ว่าถ้ามีคนหารด้วยกัน 4 คน ราคาจะตกอยู่ที่ 100 นิดๆ เท่านั้น ถือเป็นแพ็คเกจ ที่คุ้มที่สุดเลยแหละ
ซึ่งแต่ละแพ็คเกจ ก็จะตอบโจทย์กลุ่มคนไม่เหมือนกัน สำหรับแพ็คเกจที่ดูได้หลายหน้าจอหน่อย Netflix ก็จะมีให้สร้าง Profile ของแต่ละคนแยกออกมา เพราะงั้นลิสต์หนังของใครของมันแยกกันไปเลยย
4
วิธีสมัคร Netflix (4) : เลือกวิธีการชำระเงิน
ขั้นตอนสุดท้าย นั่นก็คือขั้นตอนของการเลือกรูปแบบการชำระเงินนั่นเองโดยในปัจจุบัน จะมีให้เลือกด้วยกัน 4 ช่องทางคือ
- ชำระด้วยบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิต
- ผ่าน True money
- ชำระเป็นค่าบริการมือถือ ซึ่งมีครบทุกค่ายนั่นคือ True, Dtac, AIS ซึ่งจะเรียกเก็บค่าชำระในรอบบิลถัดไปตามรอบบิลปกติ
- รหัสของขวัญ Netflix หาซื้อรหัสได้ตามร้านสะดวกซื้อ เช่น 7-Eleven
เมื่อเลือกช่องทางชำระเงินที่ต้องการ พร้อมกรอกข้อมูลครบถ้วนก็เป็นอันเสร็จสิ้นเรียบร้อย เริ่มเข้าไปดูซีรี่ย์กันได้เลย !!
5
ดูอะไรก่อนดี? กับ 5 หนัง/ซีรี่ย์ netflix แนะนําดีๆ ที่ควรดู
สำหรับมือใหม่ Netflix วันนี้พวกเรา LifeSara ได้เลือกหนัง/ซีรี่ย์ที่ไม่ควรพลาดมาไว้ให้ด้วยกัน 5 เรื่อง เราไปดูกันเลยว่ามีเรื่องอะไรบ้าง
1. Stranger Things
ซีรี่ย์อเมริกันยอดฮิตธีมแฟนตาซีที่เป็นที่นิยมสุดๆ โดยปัจจุบันมีทั้งหมด 4 ซีซั่นให้ดูกันแบบหนำใจ โดยซีรี่ย์จะเล่าเรื่องอยู่ในช่วงปี 1980 ที่เมือง ฮอว์กิน รัฐอินเดียนา
เป็นเรื่องเกี่ยวกับ ‘วิล ไบเออร์ส ‘ หนึ่งในตัวเอกของเรื่องที่ได้หายตัวไปอย่างลึกลับขณะกำลังเดินทางกลับบ้าน ในขณะเดียวกัน ไมค์, ดัสติน และลูคัส เพื่อนสนิทของวิลล์ที่พยายามออกตามหาวิล ก็ได้เจอกับ อีเลเว่น (แอลล์) เด็กหญิงปริศนาที่สามารถใช้พลังจิตได้ วิลหายตัวไปไหน ยังมีชีวิตอยู่ไหม แล้วอีเลเว่นเป็นใคร จะมาดีหรือมาร้าย แล้วปริศนาอะไรที่ซ่อนอยู่ภายใต้เงามืดของเมืองนี้? ลองไปหาความจริงด้วยตัวเองกันได้เลย!
2. Peaky Blinders
เรามาเปลี่ยนฝั่งไปดูซีรี่ย์อังกฤษกันบ้าง โดยเรื่องนี้จะเกี่ยวกับแก๊งมาเฟีย/นักเลงที่ชื่อว่า Peaky Blinders ในเมือง Birmingham ประเทศอังกฤษ ช่วงยุคศตวรรษที่ 19 โดยในปัจจุบันซีรี่ย์เรื่องนี้ได้รับความนิยมอย่างมาก จนมีการออกอากาศมาแล้วกว่า 6 ซีซั่น บอกเลยว่าใครที่ชอบดูแนวมาเฟียแบบ The Godfather คือห้ามพลาดเรื่องนี้!!
โดย Peaky Blinders นั้น มาจากชื่อของกลุ่มตัวละครนำที่เป็นอันธพาล เขาจะติดใบมีดโกนไว้ที่หมวกพีคกี้ ส่วนเวลาสู้ ก็จะถอดหมวกที่มีใบมีดออกมาฟาด หรือปาดเป็นกิมมิค
ตัวละครนำคือ ทอมมี่ หรือโธมัส เชลบี้ และครอบครัวเชลบี้ได้แก่ อาเธอร์ (พี่ชายคนโต), จอห์น (น้องชาย) และพอลลี่ เกรย์ (อา) ผู้เป็นแกนนำทำธุรกิจพนันม้า เป็นอันธพาลผู้มีอิทธิพลในเบอร์มิงแฮม ที่คนเกรงกลัว
โดยเรื่องเกิดในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ทอมมี่ ที่กลับมาจากสงครามพร้อมพี่น้อง ทอมมี่กลายเป็นชายผู้ไม่กลัวตายและทะเยอทะยาน เขาอยากจะขยายธุรกิจ มันเลี่ยงไม่ได้กับการปะทะกับคนที่ใหญ่กว่ามาก ทอมมี่ใจกล้าถึงขนาดใช้ของที่ตำรวจต้องการมาต่อรองเพื่อเปิดทางให้ตัวเองทำงานง่ายขึ้น ผ่านทางตำรวจเจ้าเล่ห์ เชสเตอร์ แคมป์เบล (Sam Neill) ที่เหมือนพาตัวเองไปเสี่ยงสุดๆ รวมถึงปัญหาครอบครัวที่เขาต้องสะสาง
3. Squid Game
สำหรับเรื่องต่อมา เป็นซีรีส์เกาหลียอดฮิตประจำปี 2021 ที่ดังไปทั่วโลก นั่นก็คือ Squid Game นั่นเอง บอกเลยว่าใครที่อยากเริ่มดูซีรี่ย์เกาหลีหรือเป็นสายชอบลุ้นระทึก เสียดสีสังคม ห้ามพลาดเรื่องนี้เด็ดขาดเลย!!!!
นี่เป็นเรื่องราวของผู้เข้าแข่งขันหลายร้อยชีวิตที่ประสบปัญหาทางการเงิน จนต้องมาแข่งขันกันในเกมเด็กเล่นที่เต็มไปด้วยปริศนาลึกลับ เพื่อชิงเงินรางวัลมหาศาล บรรดาผู้เล่นตอบรับคำเชิญสุดประหลาดด้วยความหวังว่าจะคว้าทั้งชัยชนะและเงินรางวัลที่จะพลิกชะตาชีวิตได้ แต่โชคร้ายที่พวกเขาไม่รู้เลยว่าราคาของความพ่ายแพ้นั้น กลับต้องจ่ายด้วยชีวิต การแข่งขันครั้งนี้จึงเป็นมากกว่าการชิงเงินรางวัล เพราะหากทำพลาดระหว่างทาง นั่นอาจหมายถึงจุดจบของชีวิต!
4. Interstellar
สำหรับเรื่องต่อมา เป็นภาพยนตร์ Sci-fi ยอดฮิตในใจของใครหลายๆ คน โดยมีผู้กำกับคือ คุณคริสโตเฟอร์ โนแลน ผู้กำกับชื่อดังที่เคยกำกับภาพยนตร์อย่าง แบทแมน ไตรภาค, TENET หรือ Inception ซึ่งกวาดรางวัลมาแล้วมากมาย
สำหรับเรื่องนี้ใครที่เป็นสายชอบแนวคิดหรือสนใจเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ ดาราศาสตร์ และอวกาศ ปรัชญาจะต้องชอบเรื่องนี้แน่นอน นอกจากนี้เรื่องนี้ยังเป็นเรื่องที่ยังเดาเนื้อเรื่องได้ยาก และให้ข้อคิดอะไรต่างๆ มากมาย บอกเลยว่าเป็นภาพยนตร์พรีเมียมที่คุ้มค่าแก่การดูสุดๆ
เรื่องนี้จะเล่าถึงเรื่องราวในยุคช่วงปลายของโลกที่ทุกอย่างกำลังจะจบสิ้นลงตามวัฏจักรแห่งจักรวาล มนุษยชาติกำลังจะต้องเผชิญกับความยากแค้นขาดแคลนอาหารและภัยพิบัติทางธรรมชาติต่างๆ หนทางในการแก้ปัญหามีทางเดียว นั่นคือการเดินทางข้ามสู่กาแล็คซี่อันไกลโพ้น เพื่อค้นหาดาวดวงใหม่สำหรับมนุษย์ ซึ่งนี่ถือเป็นวิธีที่เสี่ยงอันตรายสุดๆ แต่เพราะไม่เหลือทางเลือกอื่นใดอีกแล้ว การกอบกู้โลกครั้งนี้จะพลิกหน้าประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติไปอย่างสิ้นเชิงได้สำเร็จหรือไม่ เรามาดูกัน!
5. เดี่ยว 13
กลับมาที่รายการแนะนำฝั่งของไทยเรากันบ้าง นั่นก็คือ เดี่ยว 13 ของพี่โน๊ส อุดม แต้พานิช ซึ่งเป็น Stand-up Comedy Show ชื่อดังของประเทศไทย ที่เพิ่งเป็นกระแสไปสดๆ ร้อนๆ เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา โดยภายในโชว์ จะเป็นลักษณะของการเล่าเรื่องต่างๆ ตามสไตล์พี่โน๊สที่พูดถึงเรื่องราวต่างๆ รอบตัว ตั้งแต่เรื่องการตรวจต่อมลูกหมาก จนถึง ประสบการณ์สุดประหลาดในงานศพ นอกจากนี้ยังมีการเสียดสีหรือแซวการเมืองเล็กๆ น้อย เช่นเคยกับทุกๆ เดี่ยวที่ผ่านมา แต่บอกเลยว่าการดูเดี่ยว 13 จะทำให้คุณหัวเราะชวนคลายเครียดได้อย่างแน่นอน!