การอ่านหนังสือเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่ไม่เพียงแต่ให้ความรู้และแรงบันดาลใจ แต่ยังช่วยให้ผู้อ่านได้สัมผัสกับโลกในมุมมองที่หลากหลาย วันนี้ LifeSara จะพาทุกคนไปรู้จักกับหนังสือพัฒนาตนเอง 30 เล่มที่ควรอ่านสักครั้งในชีวิต ฉบับอัปเดตปี 2024 คัดโดยทีมงาน Lifesara ร่วมมือกับนายอินทร์ โดยที่หลายๆ เล่มในนี้ก็ได้รับการคัดสรรและแนะนำจากนักธุรกิจและบุคคลมีชื่อเสียงหลายท่าน

หนังสือเหล่านี้จะพาทุกคนไปรู้จักกับโลกใหม่ๆ สร้างแรงบันดาลใจ เปิดโอกาสให้คุณได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ และพัฒนาตัวเองอย่างก้าวกระโดดแน่นอน จะมีเล่มไหนบ้าง ตามไปดูกันเลยยย

Asset 11

ATOMIC HABITS เพราะชีวิตดีได้กว่าที่เป็น โดย James Clear

หนังสือพัฒนาตนเอง
รีวิวสั้นๆ...
เปิดโลกวิธีการดัดนิสัยตัวเองให้ดีขึ้น เน้นวิธีการปฏิบัติให้เอามาทำตามในชีวิตจริงได้ง่าย ทำแล้วดีขึ้นจริง มีอธิบายให้เข้าใจพร้อมยกตัวอย่างด้วย คุ้มค่ากับการอ่านมากๆ

ถ้าใครกำลังมองหาวิธีการพัฒนาและปรับปรุงนิสัยตัวเองแบบค่อยเป็นค่อยไป หนังสือเล่มนี้จะนำเสนอหลักการง่ายๆ ที่จะทำให้เราพัฒนานิสัยของเราทีละเล็กน้อยได้ในทุกๆ วัน จนกลายเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน ด้วยการเล่าเรื่องและยกตัวอย่างที่ทำให้เห็นภาพชัด เป็นหนังสือที่ทำให้เปลี่ยนชีวิตในทุกมิติได้จริงๆ

Teaser แนวคิดที่น่าสนใจ: 

  • กฎ 4 ข้อของการสร้างนิสัย: กฎ 4 ข้อได้แก่ ทำให้ชัดเจน (Make it Obvious), ทำให้น่าสนใจ (Make it Attractive), ทำให้ง่าย (Make it Easy), และทำให้น่าพอใจ (Make it Satisfying) James อธิบายว่าการใช้กฎเหล่านี้สามารถเพิ่มโอกาสในการสร้างนิสัยที่ดีได้มากขึ้น เช่น ถ้าต้องการออกกำลังกายตอนเช้า ให้วางชุดออกกำลังกายไว้ข้างเตียง (ทำให้ชัดเจน) จินตนาการถึงความรู้สึกดีหลังออกกำลังกาย (ทำให้น่าสนใจ) เริ่มจากการออกกำลังกายเพียง 2 นาทีต่อวัน (ทำให้ง่าย) และบันทึกความสำเร็จทุกวัน (ทำให้น่าพอใจ)
  • การสร้างตัวตนใหม่: การสร้างนิสัยที่ยั่งยืนต้องเริ่มจากการเปลี่ยนความเชื่อเกี่ยวกับตัวเองให้ได้ก่อน โดยให้คิดว่าเราเป็นคนแบบไหน แทนที่จะคิดว่าเราอยากทำอะไร เช่น แทนที่จะคิดว่า “อยากเลิกบุหรี่” ให้คิดว่า “เราเป็นคนใส่ใจสุขภาพ”
  • กฎ 2 นาที: James แนะนำให้เริ่มนิสัยใหม่ด้วยการทำเพียง 2 นาทีต่อวัน เพื่อลดแรงต้านและสร้างความสม่ำเสมอ และเมื่อทำได้ต่อเนื่อง ก็ค่อยๆ เพิ่มเวลาขึ้น วิธีนี้จะทำให้เราหยุดลังเลและเริ่มลงมือทำได้ง่ายขึ้น
Asset 22

THINKING, FAST AND SLOW คิด, เร็วและช้า โดย Daniel Kahneman

หนังสือพัฒนาตนเอง
รีวิวสั้นๆ...
เป็นเล่มที่เปลี่ยนชีวิตอีกหนึ่งเล่ม ทำให้คิดอะไรรอบคอบขึ้น เข้าใจความคิดตัวเองมากขึ้น ลดอคติ ลดความคิดชั่ววูบลงได้เยอะถ้าเอาไปทำตาม อ่านง่าย ตัวอย่างเยอะ

ใครที่อยากทำความเข้าใจระบบความคิดของสมองคนเรา อยากมีสติกับการคิด ลดอคติ และคิดแบบเป็นเหตุเป็นผลมากขึ้น หนังสือเล่มนี้จะพาเราไปรู้จักระบบการคิด 2 แบบ

นั่นคือการคิดเร็ว ซึ่งอาจทำให้เราตัดสินใจพลาดได้ง่าย และระบบคิดช้า ซึ่งจะทำให้เรารอบคอบและมีเหตุมีผล ทำให้เราเข้าใจพฤติกรรมต่างๆ ของมนุษย์มากขึ้น ผ่านมุมมองของ Daniel นักจิตวิทยาเจ้าของรางวันโนเบลระดับโลก 

หนังสือเล่มนี้แบ่งออกเป็น 5 ส่วน โดยแต่ละส่วนจะอธิบายแนวคิดที่ Daniel ได้รวบรวมมาจากผลงานวิจัยกว่า 40 ปีของเขาเกี่ยวกับกระบวนการคิดของมนุษย์ ผ่านหลักการวิทยาศาสตร์ที่เข้าใจง่าย และมีตัวอย่างให้เห็นภาพชัดเจน

Teaser แนวคิดที่น่าสนใจ:

  • อคติจากสิ่งที่เห็น (Anchoring Effect): เรามักจะติดกับดักของตัวเลขแรกที่เห็นเวลาต้องคาดเดาอะไรสักอย่าง แม้ว่ามันจะไม่เกี่ยวข้องเลยก็ตาม เช่น มีการทดลองหนึ่ง ถามคนสองกลุ่มว่า “Gandhi อายุเท่าไหร่ตอนจากไป?” กลุ่มแรกได้เห็นเลข 144 ก่อนตอบ ให้คำตอบเฉลี่ย 67 ปี ในขณะที่กลุ่มที่เห็นเลข 35 ก่อน ตอบเฉลี่ยเพียง 50 ปี แสดงให้เห็นว่าตัวเลขที่ไม่เกี่ยวข้องสามารถส่งผลต่อการตัดสินใจของเราได้จริงๆ
  • อคติจากสิ่งที่นึกถึงได้ง่าย (Availability Heuristic): บางทีมนุษย์เราชอบประเมินความเสี่ยงจากอะไรที่เรานึกขึ้นได้ง่าย ซึ่งอาจไม่ใช่ความจริง เช่น การที่ผู้คนกลัวการเดินทางโดยเครื่องบินมากขึ้นหลังจากได้ยินข่าวเครื่องบินตก ทั้งที่สถิติชี้ชัดว่าการเดินทางทางอากาศปลอดภัยกว่าทางถนนเยอะ 
  • ความกลัวการสูญเสีย (Loss Aversion): จริงๆ แล้ว ความเจ็บปวดจากการสูญเสียมีผลกระทบรุนแรงกว่าความสุขจากการได้รับสิ่งที่มีค่าเท่ากันถึงสองเท่า เช่น คนส่วนใหญ่จะปฏิเสธการเล่นเกมที่มีโอกาส 50/50 ในการได้ 150 บาทหรือเสีย 100 บาท แม้ว่าในระยะยาวการเล่นเกมนี้จะให้ผลตอบแทนเป็นบวกก็ตาม หรือถ้าให้เห็นภาพง่ายๆ คนมักจะรู้สึกเศร้าจากการเสียเงิน 1,000 บาทจากการลงทุน มากกว่าดีใจกับการได้เงินมา 1,000 บาท
Asset 33

THE LEAN STARTUP ลีนสตาร์ตอัพ โดย Eric Ries

รีวิวสั้นๆ...
เป็นหลักการทำธุรกิจที่อ่านง่าย ไม่ได้เน้นแต่ทฤษฎี แต่ทำให้ได้รู้วิธีทำธุรกิจยังไงให้โตไวแบบสตาร์ทอัพ มีตัวอย่างให้เยอะ เป็น must-read สำหรับคนทำธุรกิจทุกคน

ถ้าใครกำลังมองหาวิธีทำให้ธุรกิจก้าวกระโดดอย่างรวดเร็วแบบสตาร์ทอัพ หนังสือเล่มนี้จะมาฉีกกฎการทำธุรกิจแบบเก่า โดย Eric Ries เจ้าพ่อแนวคิด Lean Startup นำเสนอวิธีใหม่ที่ใช้หลัก “การทดลองทางวิทยาศาสตร์” เพื่อพัฒนาสินค้าหรือบริการที่ตอบโจทย์ลูกค้าจริงๆ แบบไม่ต้องรอให้มันสมบูรณ์แบบ ผ่านวงจรการ สร้าง-วัดผล-เรียนรู้

หนังสือเล่มนี้รวบรวมประสบการณ์และบทเรียนจากการทำสตาร์ทอัพมานับไม่ถ้วนของ Eric โดยจะค่อยๆ อธิบายหลักแนวคิด Lean Startup ไปทีละส่วน ทำให้นำหลักการไปใช้ได้ในชีวิตจริง ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจเล็กหรือใหญ่ 

Teaser แนวคิดที่น่าสนใจ:

  • วงจร Build-Measure-Learn หรือ สร้าง-วัดผล-เรียนรู้: แทนที่จะใช้เวลานานในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้สมบูรณ์แบบ ให้เราสร้าง “ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ได้ขั้นต่ำ” (Minimum Viable Product – MVP) ออกมาให้เร็วที่สุด แล้วนำไปทดสอบกับลูกค้าจริง วัดผลการตอบรับ และเรียนรู้จากข้อมูลที่ได้ วิธีนี้ช่วยให้เราปรับปรุงผลิตภัณฑ์ได้เร็วและตรงความต้องการของลูกค้ามากขึ้น แทนที่จะเสียเวลาและทรัพยากรไปกับสิ่งที่ลูกค้าอาจไม่ต้องการ
  • Validated Learning: แนวคิดนี้เน้นย้ำว่าการเรียนรู้ที่แท้จริงต้องมาจากการทดสอบสมมติฐานกับลูกค้าจริงๆ ไม่ใช่แค่การคาดเดาหรือความรู้สึก หนังสือแนะนำให้ผู้ประกอบการตั้งสมมติฐานเกี่ยวกับธุรกิจ แล้วออกแบบการทดลองเพื่อพิสูจน์ว่าสมมติฐานนั้นถูกหรือผิด วิธีนี้ช่วยให้เราตัดสินใจบนพื้นฐานของข้อมูลจริง ไม่ใช่แค่ความรู้สึก
  • จะเปลี่ยนหัวเรือ หรือจะทำต่อไปดี: หลังจากที่เราได้ทดสอบและเรียนรู้แล้ว เราต้องตัดสินใจว่าจะเดินหน้าต่อไปในทิศทางเดิม (Persevere) หรือปรับเปลี่ยนกลยุทธ์อย่างมีนัยสำคัญ (Pivot) การ Pivot ไม่ใช่ความล้มเหลว แต่เป็นโอกาสในการปรับตัวให้เข้ากับความต้องการของตลาดที่แท้จริง เล่มนี้ยกตัวอย่างบริษัทดังหลายแห่งที่ประสบความสำเร็จหลังจาก Pivot เช่น Slack ที่เริ่มต้นจากการเป็นเกมออนไลน์ แต่สุดท้ายกลับเติบโตจากการเป็นแพลตฟอร์มสื่อสารสำหรับธุรกิจ
Asset 44

Four Thousand Weeks ชีวิตเรามีแค่สี่พันสัปดาห์ โดย Oliver Burkeman

หนังสือพัฒนาตนเอง
รีวิวสั้นๆ...
เล่มนี้ช่วยตอกย้ำว่าเราควรใช้ชีวิตในแบบที่เราอยากใช้ เพราะชีวิตคนเรามันสั้น อ่านแล้วได้เข้าใจคุณค่าของเวลาและการจัดลำดับความสำคัญ และได้วิธีการจัดการเวลาในชีวิตให้มีความสุข

ชีวิตนี้เราทำงานหนักๆ ไปเพื่ออะไร? เราแบ่งเวลามหาศาลเพื่อทุ่มเทไปกับการหาเงินไปทำไม? หนังสือพัฒนาตนเองเล่มนี้จะช่วยปรับแนวคิดที่เรามีต่อการจัดการเวลา ให้เราได้ใช้เวลาอันน้อยนิดในชีวิตของเราอย่างมี “ความหมาย” มากขึ้น เล่าออกมาในรูปแบบของปรัชญาชีวิต แทรกด้วยกลวิธีการบริหารเวลาที่นำไปปรับใช้ได้ในทุกๆ วัน

สำหรับเนื้อหาของหนังสือพัฒนาตนเองเล่มนี้จะมีประมาณ 3 ส่วนด้วยกัน ซึ่งแต่ละส่วนจะนำเสนอมุมมองเกี่ยวกับข้อจำกัดเวลา ซึ่งหนังสือเล่มนี้จะช่วยให้ทุกคนได้รู้สึกว่าปัจจุบันนั้นมีความหมายขนาดไหน ซึ่งเวลา 4,000 สัปดาห์ เทียบเท่ากับอายุ 80 ปี ฉะนั้นลองใช้เวลาให้คุ้มค่ามากขึ้น ชีวิตนั้นไม่ได้ยาวนานอย่าไปคาดหวังใครและไม่ต้องให้ใครคาดหวังเรา 

Teaser แนวคิดที่น่าสนใจ:

  • ยอมรับข้อจำกัด: เราต้องตระหนักว่าเวลามีจำกัดและต้องยอมรับว่าเราไม่สามารถทำทุกอย่างได้ พอยอมรับได้จะทำให้เราสามารถจัดการลำดับความสำคัญได้อย่างมีความหมายมากยิ่งขึ้น เช่น ถ้าเรามีงานล้นมือ เราอาจจะรู้สึกว่าต้องทำทุกอย่างให้เสร็จและสมบูรณ์แบบ แต่ถ้าเรายอมรับข้อจำกัดของเวลา เราอาจจะเลือกทำเฉพาะงาน 3 อย่างที่สำคัญที่สุดในแต่ละวัน
  • คุณค่าปัจจุบันเหนือกว่าอนาคต:  เราไม่ควรมัวแต่หมกหมุ่นอยู่กับความสำเร็จที่ยังไม่เกิดขึ้นในอนาคต จนหลงลืมว่าปัจจุบันเราสามารถค้นหาคุณค่าในช่วงเวลาปัจจุบันได้ ลองเปลี่ยนมาโฟกัสปัจจุบัน เชื่อว่าจะช่วยลดความวิตกกังวลเกี่ยวกับเวลาที่กำลังหมดไป เช่น การใช้เวลา 30 นาทีในทุกๆ วันเพื่อทำสิ่งที่ชอบโดยไม่ต้องคิดถึงผลลัพธ์ในอนาคต
  • ในระยะยาวทุกคนก็ต้องตายอยู่ดี: ทุกคนมีเกิดแก่เจ็บตาย ดังนั้นลองมองว่าความตายสามารถปลดปล่อยเราจากความกดดันของการพยายามทำทุกอย่างได้ วิธีนี้อาจช่วยให้เราหันไปโฟกัสแต่สิ่งสำคัญจริงๆ
Asset 55

The Psychology of Money : จิตวิทยาว่าด้วยเงิน โดย Morgan Housel

รีวิวสั้นๆ...
อยากให้หนังสือเล่มนี้อยู่ในหลักสูตรการสอนของไทย! ทุกคนควรจะได้อ่านเล่มนี้ก่อนจะเริ่มลงทุนอะไร หรือวางแผนการเงินอะไรในชีวิต เพราะอ่านแล้วชีวิตเปลี่ยนจริงๆ ทำให้ตัดสินใจการลงทุน หรือการใช้จ่ายแบบมีสติมากขึ้น

เล่มนี้เศรษฐีพันล้านอย่าง Howard Marks แนะนำ!

ใครที่อยากบริหารจัดการเงินให้ได้ดีขึ้น หนังสือเล่มนี้คือ must-read ที่จะเปลี่ยนชีวิตและเปลี่ยนมุมมองที่เรามีต่อการลงทุนไปเลย เราจะค้นพบความจริงว่าความรู้สึกของเรามีผลต่อการจัดการเงินมากกว่าความรู้เรื่องการเงินเสียอีก และจะได้เรียนรู้วิธีควบคุมความคิดไม่ให้เราต้องเสียใจภายหลังกับการบริหารเงินในชีวิตอีกต่อไป

เนื้อหามีทั้งหมด 10 บท โดยแต่ละบทนำเสนอแนวคิดสำคัญเกี่ยวกับจิตวิทยาการเงิน โดยอาศัยทั้งเรื่องราวจากประวัติศาสตร์ ตัวอย่างจากชีวิตจริง และข้อมูลเชิงลึกทางพฤติกรรมศาสตร์มาอธิบายให้เราเห็นภาพ และทำตามได้ง่าย

Teaser แนวคิดที่น่าสนใจ:

  • ความมั่งคั่งที่แท้จริงคือสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น: ความมั่งคั่งที่แท้จริงไม่ใช่รถหรูหรือบ้านใหญ่โต แต่เป็นเงินออมและการลงทุนที่สร้างอิสรภาพทางการเงิน เช่น คนที่มีรายได้สูงแต่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยจนไม่มีเงินเก็บ เทียบกับคนที่มีรายได้ปานกลางแต่ใช้ชีวิตอย่างประหยัดและมีเงินออมมาก ในความเป็นจริงแล้วคนอย่างหลังมีความมั่งคั่งมากกว่า
  • อย่าทำตามชีวิตคนๆ นึงจนเกินไป: เราไม่ควรไปยึดติดกับตัวอย่างชีวิตของคนๆ นึงเป็นหลัก โดยเฉพาะเหล่า CEO หรือเศรษฐีทั้งหลาย เพราะทุกอย่างมี “โชค” เข้ามาเกี่ยวข้อง และหลายๆ คนที่ประสบความสำเร็จหรือแม้แต่ล้มเหลว ก็อาจเป็นกรณีหายาก เช่น Bill Gates โชคดีมากที่ได้เป็นเด็ก 1 ในล้านในยุคก่อนที่ได้ใช้คอมพิวเตอร์จนกลายเป็นเศรษฐี ในขณะที่เพื่อนร่วมห้องของเขา Kent Evans เป็นเด็กอีก 1 ในล้านที่ปีนเขาแล้วเสียชีวิต
  • ควบคุมอารมณ์ได้มีชัยไปกว่าครึ่ง: การบริหารเงินที่ดีคือต้องควบคุมอารมณ์ของตัวเองให้ไม่ดีใจจนหลงละเลิงเมื่อลงทุนอะไรสำเร็จ หรือเจ็บปวดจนเผลอทำอะไรผิดพลาดด้วยอารมณ์ชั่ววูบ Morgan ให้ตัวอย่างนักลงทุนที่ฉลาดแต่ขาดวินัย ตัดสินใจขายหุ้นด้วยความใจร้อนในช่วงตลาดผันผวนและเสียเงินทุนไปมาก เมื่อเทียบกับนักลงทุนที่ความรู้น้อยแต่มีวินัยในการลงทุนระยะยาวที่ค่อยๆ ช้อนหุ้นด้วยเงินทีละเล็กละน้อย กลับประสบความสำเร็จมากกว่า
  • ไม่มีอะไรแน่นอน: การวางแผนการเงินที่ดีต้องคำนึงถึงความไม่แน่นอนและเตรียมพร้อมรับมือกับสิ่งที่คาดไม่ถึง ยกตัวอย่างเช่นวิกฤตการณ์ทางการเงินต่างๆ ในประวัติศาสตร์ที่ไม่มีใครคาดคิด นอกจากนี้ การมีเงินสำรองฉุกเฉินและการกระจายความเสี่ยงก็เป็นสิ่งสำคัญ เพราะเกมแห่งการเงินไม่ใช่การรวยข้ามคืนในระยะสั้นด้วยการลงทุนเสี่ยงๆ แต่เป็นความมั่งคั่งในระยะยาวของคนมีวินัยต่างหาก
Asset 66

ZERO to ONE หลักคิดสำหรับสตาร์ทอัพสู่การสร้างอนาคต โดย Peter Thiel

รีวิวสั้นๆ...
เป็นอีกเล่มที่คนทำสตาร์ทอัพต้องอ่าน จะได้รู้ว่าต้องตั้งคำถามอย่างไรเพื่อจะได้ไอเดียที่จะ disrupt โลกและเปิดตลาดใหม่ที่ไม่มีใครนึกถึง

เล่มนี้ Elon Musk, Mark Zuckerberg, Ben Horowitz แนะนำ!

ในหนังสือน่าอ่านเล่มนี้ Peter Thiel ผู้ร่วมก่อตั้ง PayPal และนักลงทุนคนแรกๆ ของ Facebook จะพาเราไปค้นหาโอกาสสร้างนวัตกรรมล้ำโลก แบบที่ Bill Gates คิดค้น Windows และ Larry Page คิดค้น Google ผ่านมุมมองการตั้งคำถามที่จะนำพาไปสู่ไอเดียแปลกใหม่ที่จะพาโลกก้าวจาก 0 ไปเป็น 1 แทนที่จะพัฒนาสิ่งที่มีอยู่แล้วจาก 1 กลายเป็น 2 เป็น 3 ไปจนถึง n

Peter บอกเล่าเรื่องราวและมุมมองที่เขามีต่อไอเดียสตาร์ทอัพต่างๆ โดยแบ่งเป็นบทๆ ให้อ่านง่าย รวมถึงมีกรณีศึกษาของสตาร์ทอัพให้เราเข้าใจว่าความคิดที่จะ disrupt วงการได้ต้องมีลักษณะแบบไหน และจะต้องลงมือทำอย่างไรให้ความคิดเหล่านั้นกลายเป็นสตาร์ทอัพที่สำเร็จ

Teaser แนวคิดที่น่าสนใจ:

  • จาก 0 ถึง 1 ไม่ใช่ 1 ถึง n: การสร้างสิ่งใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน (0 ถึง 1) เช่น การที่ Mark Zuckerberg สร้าง Facebook ครั้งแรก มีคุณค่ามากกว่าการทำสิ่งที่มีอยู่แล้วให้ดีขึ้น (1 ถึง n) เช่น การที่ Microsoft สร้าง Bing หลังจาก Google โดยผู้เขียนเชื่อว่าความก้าวหน้าที่แท้จริงเกิดจากการสร้างนวัตกรรมที่เปลี่ยนแปลงโลก ไม่ใช่แค่การปรับปรุงสิ่งที่มีอยู่ แนวคิดนี้ท้าทายให้เราคิดนอกกรอบและมองหาโอกาสในการสร้างสิ่งใหม่ๆ 
  • ตามหา “ความจริง” ที่สวนกระแส: หนังสือกระตุ้นให้เรามองหา “ความลับ” หรือ “ความจริงที่คนส่วนใหญ่ยังไม่เห็นด้วยกับคุณ” เช่น การที่ Steve Jobs เชื่อว่า “คนไม่ได้ต้องการคอมพิวเตอร์ที่มีพลังการประมวลผลสูง แต่จริงๆ แล้วต้องการประสบการณ์การใช้งานคอมพิวเตอร์ที่ดีต่างหาก” ซึ่งเราจะต้องกล้าที่จะเชื่อในสิ่งที่แตกต่างจากคนอื่น เพราะมันอาจนำไปสู่การสร้างนวัตกรรมที่เปลี่ยนแปลงโลกได้
  • การผูกขาดอย่างสร้างสรรค์: เล่มนี้นำเสนอมุมมองที่แตกต่างเกี่ยวกับการผูกขาด โดย Peter มองว่าบริษัทที่ประสบความสำเร็จอย่างแท้จริง คือบริษัทที่สามารถสร้างตลาดใหม่ให้ตนเอง และครองตลาดนั้นได้ การแข่งขันอย่างดุเดือดอาจไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดเสมอไป เพราะอาจทำให้ธุรกิจมุ่งเน้นแต่การเอาตัวรอดมากกว่าการสร้างคุณค่าใหม่ๆ ให้ผู้บริโภค
Asset 77

How to Win Friends and Influence People วิธีชนะมิตรและจูงใจคน โดย Dale Carnegie

รีวิวสั้นๆ...
อ่านแล้วสกิลการสื่อสารจะดีขึ้นแบบ 1000% จะกลายเป็นคนมีสเน่ห์ขึ้น ถือว่าเป็นหลักการที่ผ่านไปกี่ปีก็ยังใช้ได้อยู่เสมอ ไม่ว่าจะทำอาชีพไหนก็ควรได้อ่านจริงๆ

เล่มนี้ Warren Buffett แนะนำ!

ใครที่กำลังตามหาเทคนิคง่ายๆ ไปใช้ในการสื่อสารให้สามารถพิชิตใจคนได้จริง ไม่ว่าจะในที่ทำงานหรือในชีวิตประจำวัน ต้องขอแนะนำเล่มนี้จริงๆ เพราะ เดล คาร์เนกี ได้รวบรวมหลักการการสื่อสารผ่านประสบการณ์การเป็น Public speaker ที่จะทำให้เราเปลี่ยนความคิดคนได้แบบไม่สร้างศัตรู และกลายเป็นคนที่ใครๆ ก็เคารพและเชื่อฟัง

หนังสือแบ่งออกเป็น 6 ส่วนหลัก โดยจะครอบบคลุมตั้งแต่เทคนิคในการวางตัวกับคนอื่น การสร้างความประทับใจ การโน้มน้าวใจ ไปจนถึงการอยู่กับคนรอบข้างอย่างไรให้มีความสุข โดยแต่ละส่วนจะมีเทคนิคที่ลิสต์ออกมาเป็นข้อๆ ให้เราทำตามได้ง่าย ในสไตล์การเขียนกึ่งเล่าเรื่อง ทำให้อ่านแล้วเพลินไปกับตัวอย่างหลายๆ แบบที่ Dale นำเสนอ

Teaser แนวคิดที่น่าสนใจ:

  • ใส่ใจคนอื่นจากใจจริง: อาจจะเป็นคอนเซปต์ที่ฟังดูจำเจ แต่ Dale เน้นย้ำมากๆ ว่าการแสดงความสนใจในตัวผู้อื่นอย่างจริงใจเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างมิตรภาพ จะสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับใครได้ ต้องเริ่มจากการเป็นผู้ฟังที่ดี ถามคำถามเกี่ยวกับความสนใจของผู้อื่น และจดจำชื่อของพวกเขาให้ได้ก่อน
  • อย่าตำหนิและบ่นให้มากนัก: การวิพากษ์วิจารณ์ในทางที่ไม่สร้างสรรค์และการบ่นเยอะๆ มักทำให้ผู้อื่นรู้สึกไม่ดีและต่อต้าน การชื่นชมและให้กำลังใจต่างหาก ที่จะช่วยสร้างบรรยากาศที่เป็นมิตรและเปิดโอกาสให้เกิดความร่วมมือมากขึ้น เช่น แทนที่จะพูดว่า “ทำไมส่งงานช้า ไม่มีความรับผิดชอบเลย” ให้ปรับเป็น “งานนี้อาจจะยากหน่อย แต่ถ้าติดอะไรก็มาคุยกันได้นะ มาทำงานนี้ให้เสร็จกัน”
  • ทำให้คนอื่นรู้สึกเป็นคนสำคัญ: ลึกๆ แล้วทุกคนล้วนต้องการรู้สึกว่าตนเองมีคุณค่าและสำคัญ ถ้าเราแสดงความชื่นชมอย่างจริงใจและให้ความสำคัญกับความคิดเห็นของคนอื่นได้จริงๆ เราจะสานสัมพันธ์กับคนอื่นและสร้างความเชื่อใจได้ง่ายขึ้นเยอะ
Asset 88

หนังสือพัฒนาตนเอง PRINCIPLES โดย Ray Dalio

รีวิวสั้นๆ...
อาจจะอ่านยากเล็กน้อยแต่ควรอ่าน เพราะเล่มนี้คัดแนวคิดเจ๋งๆ จากปรมาจารย์ด้านธุรกิจระดับโลกที่แม้แต่ Bill Gates ยังเคารพนับถือ อ่านจบแล้ววิธีการคิดเปลี่ยนไปเยอะมาก เหมือนเป็นคู่มือชีวิตเลยก็ว่าได้

เล่มนี้เหล่าเศรษฐีพันล้านอย่าง Howard Marks, Dustin Moskovitz, Jack Dorsey แนะนำ!

นักธุรกิจที่เก่งๆ รวยๆ เขามีหลักการในการบริหารชีวิตและการทำงานอย่างไรให้ประสบความสำเร็จกัน? หนังสือเล่มนี้จะพาเราไปรู้จัก “หลักการ” แต่ละข้อในการใช้ชีวิตและการบริหารองค์กรของ Ray Dalio ผู้ก่อตั้งกองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่ใหญ่ที่สุดของโลก ได้ชื่อว่าเป็น “Steve Jobs แห่งโลกการลงทุน” และติดอันดับ 100 บุคคลที่รวยที่สุดในโลก 

หนังสือเล่มนี้กลั่นประสบการณ์กว่า 40 ปีในการบริหาร Bridgewater Associates มาเป็นแนวทางการใช้ชีวิตและบริหารองค์กรที่ Ray เชื่อว่าเป็นกุญแจที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของตน โดยแบ่งเป็น 3 ส่วนหลัก คือ ประวัติชีวิตของ Ray, หลักการชีวิต (Life Principles) และ หลักการทำงาน (Work Principles)

Teaser แนวคิดที่น่าสนใจ:

  • แนวคิดความสามารถนิยม (Idea Meritocracy): แนวคิดนี้เชื่อว่าผู้นำควรบริหารองค์กรโดยยึดที่ความสามารถเป็นหลัก เช่น Bridgewater ใช้ระบบให้คะแนนความน่าเชื่อถือ (Believability-weighted) ที่ให้น้ำหนักความคิดเห็นของพนักงานตามประวัติการตัดสินใจที่ดีในเรื่องนั้นๆ ไม่ใช่ตามตำแหน่งหรือความอาวุโส
  • ความโปร่งใสอย่างแท้จริง (Radical Transparency): Ray เชื่อว่าการเปิดเผยความคิดอย่างตรงไปตรงมาและรับฟังความเห็นต่างอย่างเปิดกว้างเป็นสิ่งสำคัญ โดยไม่จำกัดลำดับชั้น เช่น ที่ Bridgewater ทุกคนสามารถแสดงความคิดเห็นได้อย่างตรงไปตรงมา แม้แต่กับผู้บริหารระดับสูงก็ตาม
  • การใช้เครื่องมือในการตัดสินใจ: เราสามารถนำเครื่องมือหรืออัลกอริทึมต่างๆ มาช่วยในการตัดสินใจที่อาจมีสถานาการณ์ซับซ้อนหรือมีอารมณ์มาเกี่ยวข้อง เช่น ระบบ “Dot Collector” ที่เป็นแอปพลิเคชันให้พนักงานให้คะแนนกันและกันในที่ประชุมหรือระหว่างการทำงานร่วมกันแบบ real-time โดยคะแนนจะถูกนำมาวิเคราะห์ด้วยอัลกอริทึมเพื่อสร้างภาพรวมจุดแข็งจุดอ่อนของแต่ละคน และนำมาช่วยตัดสินใจเรื่องการมอบหมายงาน เลื่อนตำแหน่ง หรือแม้แต่การปลดพนักงานออก
Asset 99

The 4-Hour Workweek ทำน้อยแต่รวยมาก โดย Timothy Ferriss

รีวิวสั้นๆ...
อ่านแล้วจะได้แนวคิดอยากปลดล็อกตัวเองจากวงจรมนุษย์เงินเดือน ทำให้ทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น แล้วเอาเวลาไปในทำสิ่งที่เรารัก

ถ้าใครกำลังมองหาแนวคิดที่จะช่วยให้เราหา work-life balance ของเราเจอ และได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขพร้อมๆ ไปกับการทำงานเพื่อหาเงิน หนังสือเล่มนี้จะทำให้เราเข้าใจปัจจัยหลายๆ อย่างที่ส่งผลต่อความสุขของเรา และนำเสนอหลักการในการทำงานยังไงให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด เพื่อนำเวลาที่เหลือไปทำในสิ่งที่เรารัก

ในหนังสือเล่มนี้ Timothy Ferris จะมาแบ่งปันเทคนิคต่างๆ ที่เขาใช้ในการเปลี่ยนชีวิตการทำงาน 80 ชั่วโมงต่อสัปดาห์มาเหลือแค่ 4 ชั่วโมง โดยยังมีรายได้ดี มีเวลาเที่ยวรอบโลกตามความฝันของเขาอยู่ และกลายเป็น “เศรษฐียุคใหม่” ที่ร่ำรวยทั้งเวลาและเงินทอง 

Teaser แนวคิดที่น่าสนใจ:

  • หลักการ D-E-A-L: DEAL ประกอบด้วย Definition (ตั้งเป้าหมายว่าเราอยากทำอะไร), Elimination (กำจัดงานที่ไม่จำเป็นออก), Automation (อาศัย tools ต่างๆ มาช่วยทุ่นแรงกับงานที่ซ้ำซาก) และ Liberation (ปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระจากงาน) เพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น และให้เราได้ทำในสิ่งที่เราอยากทำ
  • กฎ 80/20 หรือกฎของพาเรโต: เราควรจะทุ่มเทเวลาแค่ 20% ของในการสร้างผลลัพธ์ 80% เพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพ เช่น แทนที่จะเช็คอีเมลตลอดทั้งวัน อาจตั้งเวลาตอบอีเมลแค่วันละ 2 ครั้ง และใช้ระบบตอบกลับอัตโนมัติเพื่อแจ้งให้คนอื่นทราบ
  • การจำกัดเวลา: ตามหลักของกฎ Parkinson คนเรามักจะขยายเวลาที่ใช้ในการทำงานออกไปตราบใดที่ยังมีเวลาเหลืออยู่ เช่น เราจะผัดวันประกันพรุ่งไปจนกว่าจะใกล้ๆ เดดไลน์ แม้ว่าจะมีเวลาให้ทำนานแล้วก็ตาม เพราะฉะนั้น การกำหนดเวลาการทำงานจะช่วยให้เราทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น กำหนดเวลาในการเขียนรายงานแค่ 2 ชั่วโมง แทนที่จะทำไปเรื่อยๆ
Asset 1010

Purple Cow การตลาดแบบวัวสีม่วง โดย Seth Godin

รีวิวสั้นๆ...
นี่คือคอนเซปต์ ธรรมดาโลกไม่จำ จะไม่ใช่แนวการตลาดจ๋าๆ แต่จะช่วยให้เรารู้จักหาจุดเด่นเฉพาะตัวให้สินค้าหรือบริการ มีกรณีศึกษาน่าสนใจเยอะมาก เอาไว้ช่วยจุดประกายไอเดีย niche ได้ดี

มองหาวิธีการทำการตลาดที่ฉีกกฎเดิมๆ อยู่รึเปล่า? ถ้าคุณรู้สึกไอเดียตัน หรือเบื่อกับการโฆษณาแบบเดิมๆ หนังสือเล่มนี้จะช่วยจุดประกายความคิดในการสร้างผลิตภัณฑ์และบริการที่ “โดดเด่น” จนใครๆ ก็ต้องบอกต่อแบบไม่ต้องพึ่งการตลาด โดยหยิบยกกรณีศึกษาที่น่าสนใจของธุรกิจทั่วโลกมาวิเคราะห์ให้เห็นภาพและเข้าใจง่าย

แก่นของหนังสือคือแนวคิด “Purple Cow” หรือ “วัวสีม่วง” ที่แปลกตาจากฝูงวันสีขาวดำทั่วไป โดยจะใช้วิธีอธิบายผ่านกรณีศึกษาที่น่าสนใจของธุรกิจน้อยใหญ่ทั่วโลก รวมไปถึงคนธรรมดาที่คิดและทำแบบวัวสีม่วงจนประสบความสำเร็จ 

Teaser แนวคิดที่น่าสนใจ:

  • การตลาดด้วย “วัวสีม่วง”: สร้างความแตกต่างที่ตอบโจทย์ลูกค้า เช่น การสสร้างลวดลายการ์ตูนที่เด็กๆ ชอบบนปลาสเตอร์ปิดแผล ทำให้เด็กๆ ขอพ่อแม่ให้เลือกซื้อแบบมีลาย หรือ การที่บริษัทลิฟต์ OTIS คิดค้นระบบให้คนกดชั้นก่อน แล้วค่อยบอกให้คนรู้ว่าต้องใช้ลิฟต์ตัวไหน ทำให้ระบบสามารถจับกลุ่มพาคนจำนวนเยอะๆ ไปชั้นนั้นได้ ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของลิฟต์ และนำพาให้ OTIS กลายเป็นเจ้าตลาดไปได้
  • เน้นลูกค้ากลุ่มผู้นำกระแส (Early Adopter): เราควรเน้นการขายกับกลุ่มผู้นำกระแสที่พร้อมจะทดลองสิ่งใหม่ๆ ก่อนจะไปกลุ่ม mass เช่น ตอนที่ Apple เปิดตัว iPod ก็เริ่มเน้นจากกลุ่มคนที่ชื่นชอบเทคโนโลยีใหม่ๆ ให้กลุ่มนี้ช่วยบอกต่อและสร้างกระแสให้ ก่อนที่จะแพร่หลายไปสู่ผู้ใช้งานวงกว้าง
  • การพัฒนาอย่างต่อเนื่อง: ถ้าหาวัวสีม่วงเจอแล้ว ก็ใช่ว่าจะลอยตัวไปได้ตลอด องค์กรควรเฟ้นหาวัวสีม่วงใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา เช่น Starbucks ก็เคยมียุคที่ตกต่ำ จนกระทั่งได้ Howard Schultz มาบริหารแล้วรีแบรนด์ให้เน้นประสบการณ์การดื่มกาแฟของลูกค้าในร้าน ไม่ว่าจะเป็นบรรยากาศชิวๆ กลิ่นกาแฟ ดนตรีเคลิ้มๆ ให้ Starbucks กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
Asset 1111

START WITH WHY ทำไมต้องเริ่มต้นด้วย “ทำไม” โดย Simon Sinek

รีวิวสั้นๆ...
คำว่า “ทำไม” มีพลังกว่าที่คิด อ่านง่าย อ่านแล้วจะมีแรงบันดาลใจในการค้นหา “แก่น” ของสิ่งที่เราทำว่าทำไปทำไม และจะทำให้เราสร้างแรงบันดาลใจให้คนรอบๆ ตัวได้ด้วย

เล่มนี้ Richard Branson เศรษฐีพันล้านและเจ้าของบริษัทกว่า 400 แห่งแนะนำ!

ใครก็ตามที่อยากตามหา “ความหมาย” ในสิ่งที่ทำอยู่ ไม่ว่าจะเป็นนักธุรกิจ ผู้บริหาร นักการตลาด หรือใครก็ตามที่อยากได้แรงบันดาลใจในการทำธุรกิจ หนังสือเล่มนี้นำเสนอแนวคิดที่ชวนให้เรามาทำความเข้าใจและคิดทบทวนว่าเราทำธุรกิจไปเพื่ออะไรกันแน่ ผ่านการเล่าเรื่องราวต่างๆ ที่จะทำให้เราบริหารธุรกิจอย่างมี “จุดมุ่งหมาย” และสามารถกลายเป็นผู้นำได้อย่างแท้จริง

หนังสือเน้นเล่าเรื่องราวเป็นตอนๆ เพื่ออธิบายแก่นแนวคิด “Golden circle” ที่ประกอบด้วยวงกลมสามชั้น: Why (ทำไม) อยู่ตรงกลาง, How (อย่างไร) อยู่ชั้นกลาง, และ What (อะไร) อยู่ชั้นนอกสุด Simon เชื่อว่าองค์กรส่วนใหญ่สื่อสารจากวงนอกเข้าใน (เริ่มจาก What) แต่องค์กรที่สร้างแรงบันดาลใจได้จะสื่อสารจากวงในออกมา (เริ่มจาก Why)

Teaser แนวคิดที่น่าสนใจ:

  • โดดเด่นด้วยคำว่า “ทำไม”: การเข้าใจและสื่อสาร “ทำไม” ขององค์กรหรือบุคคลสามารถสร้างแรงบันดาลใจและทำให้เข้าถึง “ใจ” ของลูกค้าได้หากมีค่านิยมที่ตรงกัน เช่น Apple ไม่ได้ขายแค่คอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์ แต่ “ทำไม” ที่สื่อสารออกมาคือการ “Think Different” (กล้าที่จะคิดต่าง) ซึ่งสิ่งนี้จะช่วยดึงดูดลูกค้าที่มีค่านิยมเดียวกันให้กลายเป็นลูกค้าที่รักแบรนด์อย่างแท้จริง
  • การสร้างความภักดีผ่านความเชื่อร่วม: ลูกค้าและพนักงานจะมีความภักดีต่อแบรนด์หรือองค์กรที่มีความเชื่อและค่านิยมที่สอดคล้องกับพวกเขา เช่น Southwest Airlines ไม่ได้ขายแค่ตั๋วเครื่องบินราคาถูก แต่ค่านิยมหลักคือการให้อิสรภาพในการเดินทางแก่ลูกค้า ซึ่งจะดึงดูดทั้งลูกค้าและพนักงานที่เชื่อในค่านิยมนี้เข้ามา
  • การตัดสินใจด้วยสมองส่วนลิมบิก: Simon อธิบายว่าส่วน “ทำไม” ของ Golden Circle สอดคล้องกับสมองส่วนลิมบิกซึ่งควบคุมพฤติกรรมและการตัดสินใจทางอารมณ์ เพราะฉะนั้นการสื่อสารที่เริ่มจาก “ทำไม” จึงส่งผลกับอารมณ์มากกว่า ทำให้ช่วยโน้มน้าวให้ผู้รับสารฟังแล้วลงมือทำจริงได้ดีกว่า
Asset 1212

The $100 Startup ใช้เงินน้อยกว่าแต่รวยก่อน โดย Chris Guillebeau

รีวิวสั้นๆ...
เล่มนี้มีแต่แนวคิดที่เป็นพื้นฐานสำคัญของการทำธุรกิจทั้งนั้น ใครที่อยากมี business sense ดีๆ ควรอ่าน เพราะอธิบายได้เข้าใจง่ายมาก ตั้งแต่เริ่มธุรกิจจนถึงขยายธุรกิจ

ถ้ากำลังมองหาแนวทางการทำธุรกิจด้วยทุนต่ำให้ประสบความสำเร็จ หนังสือเล่มนี้จะสอนวิธีการทำธุรกิจให้เติบโตได้ด้วยการใช้ทรัพยากรเพียงนิดเดียว จากการสัมภาษณ์นักธุรกิจกว่า 1,000 คนที่ทำเงินได้กว่า 2 ล้านบาทด้วยเงินลงทุนไม่ถึง 3,000 บาท ถ่ายทอดออกมาผ่านกรณีศึกษาที่น่าสนใจ และสรุปเป็นแนวทางที่นำไปปรับใช้ได้จริง

หนังสือแบ่งเป็น 3 ส่วนหลัก เริ่มจากการค้นหาไอเดียธุรกิจ การเริ่มต้นธุรกิจ ปิดท้ายด้วยการขยายธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยนำเสนอผ่านการเล่าเรื่องและกรณีศึกษาจริง ซึ่งแต่ละส่วนแฝงไว้ด้วยแนวคิดการทำธุรกิจที่ละเอียดแบบฉบับจับมือทำ ทำให้อ่านง่ายและเห็นภาพ

Teaser แนวคิดที่น่าสนใจ:

  • แพชชัน x ทักษะ: การทำธุรกิจที่ประสบความสำเร็จหลายๆ ครั้งมักเกิดจากการผสมผสานระหว่างสิ่งที่เรามีแพชชันกับสิ่งที่เราเก่ง แต่กุญแจสำคัญคือต้องเป็นสิ่งที่คนอื่นยินดีจ่ายเงินเพื่อให้ได้มาด้วย เช่น นักดนตรีที่ชอบเล่นกีตาร์และมีทักษะในการสอน อาจเริ่มธุรกิจสอนกีตาร์ออนไลน์ได้
  • ทดสอบไอเดียให้รวดเร็วและประหยัด: ควรเริ่มต้นทดสอบไอเดียธุรกิจตั้งแต่เนิ่นๆ และลงเงินให้น้อยที่สุด แทนที่จะเสียเวลานานในการวางแผนหรือพัฒนาสินค้าหรือบริการให้สมบูรณ์แบบ เช่นการเริ่มต้นด้วยการขายสินค้าต้นแบบผ่านเว็บไซต์ง่ายๆ แล้วยิงโฆษณาหากลุ่มเป้าหมายเพื่อดูผลการตอบรับของตลาดก่อนลงทุนเพิ่ม
  • ธุรกิจที่ดีต้องแก้ pain point ลูกค้า: สินค้าหรือบริการทุกอย่างควรจะต้องแก้ปัญหาให้ลูกค้ามีชีวิตที่ดีขึ้น ไม่ใช่การทำตามใจตนเองและไปหวังว่าจะมีลูกค้าที่สนใจ เพราะฉะนั้น แทนที่จะถามตัวเองว่า “เราอยากทำอะไร” เราควรถามตัวเองว่า “เราจะช่วยใครได้บ้าง?” ต่างหาก
Asset 1313

THE POWER OF HABIT พลังแห่งความเคยชิน โดย Charles Duhigg

รีวิวสั้นๆ...
เหมือนเป็น Atomic Habits ฉบับรุ่นบุกเบิก เน้นอธิบาย “เบื้องหลัง” การทำงานของนิสัยเราด้วยหลักการวิทย์ฯ ให้เราเข้าใจกลไกการทำงานของสมองจริงๆ อ่านควบคู่ไปกับ Atomic Habits จะช่วยให้เราพัฒนานิสัยด้วยความเข้าใจ

ถ้าอยากทำความเข้าใจว่ากลไกการทำงานของ “นิสัย” คนเรานั้นมีที่มาอย่างไร ทำไมบางคนถึงติดนิสัยไม่ดี แต่บางคนกลับชินกับนิสัยดีๆ หนังสือเล่มนี้จะพาเราถอดรหัสวิธีการทำงานของสมองที่ทำให้เกิดเป็นนิสัยขึ้นมาตามหลักวิทยาศาสตร์ ผ่านการเล่าเรื่องที่สนุกสนานและแฝงไว้ด้วยเทคนิคการปรับนิสัยยังไงให้สมองจดจำ

หนังสือแบ่งออกเป็นสามส่วนหลัก โดยครอบคลุมนิสัยของบุคคล นิสัยขององค์กรที่ประสบความสำเร็จ และนิสัยของสังคม โดยใช้วิธีการเล่าเรื่องและกรณีศึกษาจากชีวิตจริง เพื่ออธิบายแนวคิดทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับนิสัยให้เข้าใจง่าย

Teaser แนวคิดที่น่าสนใจ:

  • วงจรนิสัย: Charles อธิบายว่านิสัยประกอบด้วยสามส่วนหลัก คือ สิ่งกระตุ้น (Cue), พฤติกรรม (Routine) และรางวัล (Reward) เช่น คนที่มีนิสัยกัดเล็บเมื่อรู้สึกเครียด (สิ่งกระตุ้น) จะกัดเล็บ (พฤติกรรม) และรู้สึกผ่อนคลาย (รางวัล) ซึ่งการเข้าใจวงจรนี้เป็นกุญแจสำคัญในการเปลี่ยนแปลงนิสัย
  • นิสัยสำคัญ (Keystone Habits): คนเราจะมีนิสัยบางอย่างที่เมื่อเปลี่ยนแล้วจะส่งผลกระทบต่อนิสัยอื่นๆ ด้วย เช่น การออกกำลังกายเป็นประจำอาจนำไปสู่การกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพมากขึ้น และการนอนหลับที่ดีขึ้น เพราะฉะนั้น การสร้างนิสัยสำคัญที่ดี จะช่วยเสริมให้นิสัยในภาพรวมของเราดีขึ้นด้วย
  • แรงกดดันจากคนรอบข้าง (peer pressure): นิสัยสามารถแพร่กระจายผ่านกลุ่มสังคมได้ โดยเราจะสามารถปรับนิสัยได้ง่ายขึ้นหากคนรอบข้างมีนิสัยนั้นๆ ร่วมด้วย เช่น นักศึกษาที่มีเพื่อนร่วมห้องชอบออกกำลังกาย มีแนวโน้มที่จะเริ่มออกกำลังกายมากขึ้น แม้แต่กับคนที่ไม่เคยออกกำลังกายมาก่อนก็ตาม
Asset 1414

The Subtle Art of Not Giving a F*ck ชีวิตติดปีก ด้วยศิลปะแห่งการ
“ช่างแม่ง” โดย Mark Manson

รีวิวสั้นๆ...
อ่านแล้วทำให้รู้สึกปลงกับหลายๆ อย่างและปล่อยวางมากขึ้น ได้เรียนรู้ที่จะยืนหยัดกับความต้องการของตัวเอง อ่านเถอะ แล้วจะพูดว่า “ช่างมัน” ได้ง่ายขึ้นเยอะ

ใครที่กำลังมองหาหลักการในการปล่อยวางสิ่งไม่สำคัญในชีวิต หนังสือพัฒนาตนเองเล่มนี้จะสอนให้เรากล้าที่จะโฟกัสแค่กับสิ่งที่สำคัญกับเราจริงๆ กล้าที่จะปล่อยวางเรื่องอื่นๆ ในชีวิต ไม่ต้องไปคล้อยตามคนอื่น ไม่ต้องคาดหวังอะไรแบบผิดๆ และสุดท้าย กล้าที่จะใช้ชีวิตในแบบที่เราอยากใช้จริงๆ ผ่านการมองมุมกลับ ให้เราไม่ตกไปอยู่ภายใต้กรอบความคิดของกระแสสังคม

สำหรับหนังสือเล่มนี้จะมีอยู่ 10 บทด้วยกัน ซึ่งในแต่ละบทจะค่อย ๆ พาลงลึกไปในจิตใจเราเรื่อยๆ เพื่อค่อยๆ ให้เราซึมซับลงไปว่า ชีวิตช่างแม่งมันบ้างก็ได้ ซึ่งใครที่อยากพลิกชีวิตหน้าที่การงาน หรือความสัมพันธ์ บอกเลยหนังสือเล่มนี้อ่านง่ายมาก เรียกได้ว่าขายดีไปแล้วมากกว่า 2 ล้านเล่มทั่วโลก 

Teaser แนวคิดที่น่าสนใจ:

  • ยอมรับความเป็นจริง (Acceptance of Reality): การยอมรับว่าในชีวิตมีความล้มเหลว ความเจ็บปวด และความผิดพลาดเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ช่วยให้เรามีทัศนคติที่แข็งแกร่งขึ้นและสามารถเผชิญกับปัญหาได้ดียิ่งขึ้น การยอมรับความเป็นจริงทำให้เราไม่เสียเวลาพยายามเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ไม่สามารถควบคุมได้
  • การมีคุณค่าในตัวเอง (Self-Value): การมีคุณค่าในตัวเองมาจากการที่เราตระหนักถึงคุณค่าของเราเอง ไม่ใช่จากการยอมรับหรือการยกย่องจากผู้อื่น การมีคุณค่าในตัวเองช่วยให้เรามีความมั่นใจและสามารถตัดสินใจที่ดีขึ้นในการใช้ชีวิต
  • การจัดการกับความล้มเหลว (Dealing with Failure): ความล้มเหลวเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตและเป็นโอกาสในการเรียนรู้ เราควรยอมรับความล้มเหลวและใช้มันเป็นแรงผลักดันในการเติบโตและพัฒนา การมองความล้มเหลวในเชิงบวกทำให้เราไม่กลัวที่จะลองสิ่งใหม่ๆ และก้าวข้ามความกลัวในการล้มเหลว
  • การมีขอบเขต (Setting Boundaries): การกำหนดขอบเขตชัดเจนในชีวิต ช่วยให้เราสามารถรักษาความสมดุลและปกป้องตัวเองจากสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ Markเน้นว่าการมีขอบเขตในความสัมพันธ์ การทำงาน และการใช้เวลาเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้เราสามารถรักษาความสุขและความสงบในชีวิตได้
Asset 1515

The Changing World Order โดย Ray Dalio

รีวิวสั้นๆ...
เล่มนี้ผู้บริหารทุกคนควรอ่านเพื่อเข้าใจวัฏจักรของโลกจากมุมมองของเจ้าพ่อการลงทุน โดยเฉพาะในยุคนี้ที่อาจมีการเปลี่ยนแปลงขั้วอำนาจของโลก ถือว่าวิเคราะห์ได้เฉียบขาดจริงๆ

ถ้ากำลังมองหาหนังสือสักเล่มที่จะเล่าความเป็นไปของโลกผ่านมุมมองของนักธุรกิจ หนังสือเล่มนี้จะช่วยให้เราเข้าใจ “วัฏจักร” แห่งการเปลี่ยนแปลงของโลกตั้งแต่ในอดีต ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ การเมือง หรือสังคม และนำมาวิเคราะห์เป็นบทเรียนเพื่อให้เราได้เตรียมพร้อมรับมือกับความท้าทายของโลกในยุคปัจจุบันต่อไป

หนังสือเล่มนี้มีอยู่ 3 ส่วนด้วยกัน แบ่งเป็นการอธิบายถึงความเป็นไปของวัฎจักรโลก การวิเคราะห์ความเป็นไปของโลกใน 500 ปีที่ผ่านมา ตบท้ายด้วยการวิเคราะห์ถึงอนาคต เล่มนี้จะช่วยให้เราสามารถปะติดปะต่อข้อมูลยิบย่อยของโลกให้ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น 

Teaser แนวคิดที่น่าสนใจ:

  • วงจรความรุ่งเรืองและการเสื่อมสลายของอาณาจักร: อาณาจักรและประเทศต่าง ๆ มีวงจรการขึ้นและลงที่คล้ายคลึงกัน เช่น การเกิดขึ้นของอาณาจักรที่มีการปฏิรูปและสร้างนวัตกรรม การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม และการตกต่ำที่เกิดจากการสะสมหนี้สิน ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ และการเสื่อมสลายของความเป็นเอกภาพทางสังคมและการเมือง
  • การสร้างดุลยภาพระหว่างอำนาจทางเศรษฐกิจและการเมือง: การมีอำนาจทางเศรษฐกิจอย่างเดียวไม่เพียงพอที่จะรักษาความเจริญของประเทศได้ หากไม่มีความเสถียรภาพทางการเมืองที่แข็งแกร่ง การบริหารจัดการทรัพยากรและการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างอำนาจทางเศรษฐกิจและการเมืองเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาความเจริญของประเทศในระยะยาว
  • การเปลี่ยนแปลงของมหาอำนาจโลก: ไม่มีมหาอำนาจไหนสามารถรักษาอำนาจเอาไว้ได้ตลอดกาล โดย Ray วิเคราะห์ว่าการเปลี่ยนแปลงของอำนาจโลกมักเกิดขึ้นเมื่อประเทศหนึ่งมีการพัฒนาและเติบโตอย่างรวดเร็ว เช่น การเติบโตของจีนอย่างก้าวกระโดดในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา ซึ่งอาจนำไปสู่สงครามการค้รา สงครามด้านเทคโนโลยี สงครามเชิงวัฒนธรรม ฯลฯ ที่เราต้องเตรียมพร้อมรับมือ
Asset 1616

จิตวิทยาสายดาร์ก โดย Dr. Hiro

รีวิวสั้นๆ...
เล่มนี้ถือว่าเล่าตัวอย่างการนำทริคการขายไปใช้ได้เห็นภาพมาก สรุปเป็นประเด็นๆ ที่เอาไปทำตามง่าย รวมถึงไม่ให้โดนคนอื่นหลอกขายได้ง่ายๆ ด้วย

ใครที่อยากเปิดมุมมองใหม่ๆ กับการสื่อสารและการโน้มน้าวใจ ดร.ฮิโระ อดีตนักขายตรงระดับแนวหน้าจะมาเผยเทคนิคเบื้องหลังในการสร้างอิทธิพลต่อผู้อื่นที่ไม่ได้มาแค่จากการพูด แต่รวมไปถึงภาพลักษณ์ และการวางตัว สรุปออกมาเป็นประเด็นที่ย่อยง่าย พร้อมตัวอย่างและคำแนะนำว่าควรนำไปใช้ต่ออย่างไร

สำหรับเนื้อหาจะมีทั้งหมด 7 บท โดยแต่ละบทจะชี้ให้เห็นถึงแนวคิดที่สำคัญของจิตวิทยาสายดาร์ก ว่าทุกอย่างในชีวิตมักเชื่อมโยงถึงกันเสมอ หากไม่อยากให้มีคนเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุรถยนต์ การไม่มีรถบนถนน อาจจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า แต่ถ้าไม่มีอุบัติเหตุ โรงพยาบาล เครื่องมือทางการแพทย์ ก็คงขายไม่ได้ ซึ่งทั้งหมดในหนังสือเล่มนี้จะทำให้เราเห็นภาพที่เราไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลย 

Teaser แนวคิดที่น่าสนใจ:

  • คำพูด “เวทมนตร์”: การใช้คำพูดบางอย่างเสริมเข้าไปในประโยค สามารถทำให้ผู้ฟังรู้สึกเข้าใจอะไรได้ง่ายขึ้นในพริบตา เช่น คำว่า “พูดง่าย ๆ ก็คือ” จะทำให้อีกฝ่ายเหมือนถูกสะกดจิตว่า หลังจากที่เขาพูดคำนั้นแสดงว่าจะต้องเข้าใจง่ายแน่ ๆ แต่ถึงคนฟังจะไม่เข้าใจ 100% ก็จะรู้สึกอยากตอบว่าเข้าใจ เพื่อที่จะไม่ทำให้ตัวเองถูกมองว่าเป็นคนเข้าใจอะไรยาก
  • การชมแบบไม่มีมูล: การชมแบบไม่มีมูลได้ผลกว่าการชมข้อดีที่เห็นได้ชัดเจน เช่น เธอรสนิยมดีจัง แทนคำว่า เธอแต่งตัวสวยจัง ซึ่งไม่ว่าคู่สนทนาจะเป็นใคร การที่เราชมรูปลักษณ์ของคนที่ดูพยายามถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะการไปชมนิสัยใจคอแม้ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนจะดูเหมือนไม่น่าเชื่อถือ ดังนั้นการสร้างประทับใจให้อีกฝ่าย ควรที่จะชมสิ่งที่มองเห็นตรงหน้ามากกว่า ในส่วนที่เราไม่มีมูลที่แท้จริง 
  • ถึงหน้าตาไม่ดีแต่ก็ต้องทำตัวให้ดูดีเข้าไว้: การให้ความสำคัญกับรูปลักษณ์ภายนอกเป็นสิ่งที่คนให้ความสำคัญก่อนเสมอ ไม่ว่าจะสวยหรือหล่อ ทุกคนล้วนดูดีได้ด้วยการพยายาม หากหน้าตาไม่ดีก็ควรเลิกแต่งตัวเฉิ่มๆ และให้ตั้งเป้าหมายว่าตัวเองจะแต่งตัวให้รสนิยมดีขึ้น หากพยายามอย่างต่อเนื่อง บุคลิกภาพทีดีต้องตามมาอย่างแน่นอน

 

Asset 1717

Good Vibes, Good Life ใช้คลื่นพลังบวกดึงดูดพลังสุข โดย Vex King

รีวิวสั้นๆ...
อ่านเถอะ แล้วจะได้หลักการและวิธีต่างๆ ในการคิดบวกและรักตัวเองให้มากขึ้นจริงๆ เป็นเล่มที่มีแต่รังสีพลังบวกแผ่ออกมาในทุกๆ หน้าที่อ่าน

อยากรักตัวเองมากขึ้นไหม? อยากเป็นคนที่ดีขึ้นในทุกๆ วันรึเปล่า? หนังสือเล่มนี้จะช่วยแนะนำวิธีการปรับทัศนคติที่เรามีต่อตนเองและต่อโลกให้ดีขึ้น และนำเสนอพฤติกรรมต่างๆ ที่จะทำให้เรากลายเป็นคนคิดบวก และเอนจอยกับการใช้ชีวิตในทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว คนรัก เพื่อน หรือแม้แต่การทำงาน

สำหรับหนังสือพัฒนาตนเองยอดฮิตนี้จะมีทั้งหมด 7 บทด้วยกัน เป็นบทสั้นๆ ที่แทรกคำคมดีๆ ไว้มากมายที่จะพาให้เรามองว่าทุกคนสมควรที่จะมีชีวิตที่ดีกว่า เป็นผลงานยอดเยี่ยมที่สร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนทั่วโลก ด้วยยอดขายกว่า 600,000 เล่ม

Teaser แนวคิดที่น่าสนใจ:

  • เป้าหมายประจำวันคือการเป็นคนที่ดีกว่าเมื่อวาน: ลองมองเป้าหมายในทุกวันว่าเราจะต้องดีขึ้นกว่าเมื่อวาน อย่าลืมที่จะพัฒนาตัวเองในทุกๆ วันแม้เพียงทีละนิดก็ถือว่าพัฒนาตัวเองได้ แล้วเราจะได้ยินดีกับความสำเร็จเล็กๆ ในแต่ละวัน
  • ทุกอย่างในจักรวาลล้วนเกิดจากแรงสั่นสะเทือน: ทุกแรงสั่นสะเทือนที่มีความถี่ตรงกันสามารถดึงดูดกันได้ ถ้าเราแผ่แต่พลังลบออกไป เราก็จะดึงดูดแต่สิ่งไม่ดีเข้ามา แต่ถ้ายิ่งส่งคลื่นพลังบวกออกไปสู่ภายนอก จักรวาลจะยิ่งสะท้อนคลื่นความสุขกลับมาเท่าทวีคูณ เพราะฉะนั้นทุกคำพูด อารมณ์ และการกระทำ คือสิ่งที่จะกำหนดชีวิตของตัวเราเอง
  • พฤติกรรมของวิถีชีวิตที่เป็นบวก: คนคิดบวกมักจะเจอกับคนคิดบวกอยู่เสมอ เวลาที่เรารู้สึกไม่ค่อยดี พยายามอยู่ใกล้คนที่รู้สึกดีไว้จะช่วยให้เราดีขึ้นจริง เหมือนกับที่เวลาเราอยู่กับคนไม่เอนจอย เราก็จะรู้สึกท้อตามไปด้วย
Asset 1818

THINK AGAIN คิดแล้ว, คิดอีก โดย Adam Grant

รีวิวสั้นๆ...
เล่มนี้ช่วยให้รู้จักท้าทายความคิดตัวเอง (rethink) ลบความเชื่อเก่าๆ ออก (unlearn) แล้วหัดมองเรื่องเดิมๆ ในชีวิตด้วยมุมมองใหม่ๆ ให้เราเรียนรู้ได้อย่างไม่มีวันสิ้นสุด

เล่มนี้ Bill Gates, ท่านชัชชาติ แนะนำ!

ถ้ากำลังมองหาวิธีหลุดออกมาจากกรอบความคิดเดิมๆ Adam Grant จะพาเราสำรวจมุมมองการคิดที่ชวนให้เราฉุกคิด และยอมรับว่าเราอาจคิดผิดในบางครั้ง เพื่อให้เราเปิดกว้างต่อการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ที่อาจเข้ามาเปลี่ยนแปลงชีวิตให้ดีขึ้น ผ่านการเล่าเรื่องราวที่อาจฟังดูธรรมดาๆ

แต่พอมองในมุมกลับแล้วแฝงไว้ด้วยการข้อคิดมากมาย เหมาะกับคนที่อยากสร้างวัฒนธรรมแห่งการเรียนรู้ให้ตนเอง คนรอบตัว หรือองค์กร

สำหรับหนังสือเล่มนี้ จะมีทั้งหมด 4 ส่วนด้วยกัน ถ่ายทอดออกมาภายใต้แนวคิดของการ “คิดทบทวน” ในระดับบุคคล ระหว่างบุคคล และแบบกลุ่ม ผ่านเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นจริง และหลักจิตวิทยาที่เข้าใจง่าย ให้ทุกคนได้มีโอกาสคิดทบทวนชุดความคิดเก่าๆ ของตัวเอง และเปิดใจรับกับชุดความคิดใหม่ๆ เพื่อความก้าวหน้าของตัวเอง

Teaser แนวคิดที่น่าสนใจ:

  • คิดแบบนักวิทยาศาสตร์: การจะเรียนรู้อะไรใหม่ๆ ให้ลองมองในมุมมองนักวิทยาศาตร์ที่ส่วนใหญ่เป็นคนที่ขี้สงสัย กล้าที่จะสงสัยในความเข้าใจของตัวเอง ซึ่งจะเปิดโอกาสให้เราอยากรู้ว่าเราไม่รู้อะไร และทำให้เราได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ เช่น การที่ Steve Jobs ซึ่งไม่ได้เชื่อในไอเดียการขายมือถือในตอนแรก ยอมเปิดตลาด iPhone ขึ้นมาได้ เกิดจากการที่วิศวกรของเขาโน้มน้าวให้ Steve Jobs เห็นว่าเขายังไม่รู้อะไร และเกิดความสงสัยในความไม่รู้ขึ้นมา
  • มั่นใจแบบถ่อมตน: เราควรมั่นใจในตัวเองว่าจะสามารถทำสำเร็จได้ แต่ไม่ควรมั่นใจกับการใช้วิธีการเดิมๆ ในการทำทุกอย่าง การเป็นคนเก่งที่ยอมรับว่าตัวเองยังไม่รู้อะไรอีกเยอะ สุดท้ายแล้วจะทำผลงานออกมาได้ดีกว่าคนที่คิดว่าตัวเองรู้ดีทั้งหมด
  • อย่ายึดติดกับความสำเร็จเดิมๆ: อย่าลืมมองว่าทุกๆ อย่างสามารถมีขึ้นมีลงได้ ดังนั้นอย่าลืมที่จะเปิดใจ และปรับตัวให้ทันเทรนด์กระแส เพื่อที่จะนำไปพัฒนาให้ดีกว่าเดิม เหมือนกับแบรนด์ BlackBerry มือถือสุดดังที่ฮิตด้านการส่งข้อความ แต่เมื่อมีการแนะนำให้ลองเปลี่ยนจากปุ่มเป็นแบบหน้าจอสัมผัส ผู้บริหารที่ยึดติดความเชื่อเดิมๆ กลับไม่เห็นด้วย จึงทำให้แบรนด์อื่นแซงหน้าในที่สุด
Asset 1919

HIDDEN POTENTIAL เมื่อคนธรรมดาจะคว้าสิ่งที่ยิ่งใหญ่ โดย Adam Grant

รีวิวสั้นๆ...
อ่านแล้วจะมั่นใจในตัวเองมากขึ้น กล้าที่จะคิดใหญ่ ได้แนวทางในการตามหาและพัฒนาศักยภาพของตัวเองและคนอื่น เล่มนี้ผู้บริหารหรือนักธุรกิจเอาไปใช้กับการคัดคน พัฒนาคนได้ดี ท้ายเล่มมีสรุปเป็นลิสต์ว่าควรทำอะไรต่อให้ด้วย

ใครที่กำลังมองหาวิธีการค้นหาและปลดล็อกศักยภาพของตัวเอง หรือหาวิธีพัฒนาศักยภาพของคนใกล้ตัว หนังสือพัฒนาตนเองเล่มนี้จะช่วยให้เราเข้าใจการดึงศักยภาพที่แท้จริงของตัวเราเองและของบุคคลอื่นออกมาให้เกิดประโยชน์สูงสุด รวมถึงหลักการในการพัฒนาศักยภาพเหล่านั้นขึ้นไปอีก ทำให้เรากล้าที่จะฝันใหญ่ได้มากกว่าเดิม 

หนังสือแบ่งเป็น 3 ส่วนหลักๆ เริ่มจากการสังเกตทักษะและนิสัยที่บ่งบอกถึงศักยภาพ การสร้าง “นั่งร้าน” เพื่อก้าวข้ามอุปสรรค และจบด้วยการสร้างระบบเพื่อเพิ่มโอกาสต่างๆ ในชีวิต โดย Adam ได้รวบรวมงานวิจัยต่างๆ จากผู้เชี่ยวชาญ รวมถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงมาถ่ายทอดให้เราเข้าใจจริงๆ ว่าการพัฒนาศักยภาพมีที่มาจากไหน และต้องทำอย่างไร

Teaser แนวคิดที่น่าสนใจ:

  • การสร้าง “นั่งร้าน” (Scaffolding): คนเราจะพัฒนาทักษะได้ต้องการการสนับสนุนที่เหมาะสมเพื่อให้เราไปต่อได้ในวันที่เราหมดกำลังใจ อาจจะจากโค้ช หรือคนใกล้ตัว เปรียบเหมือนการใช้นั่งร้านในการค่อยๆ ก่อสร้างอาคารที่สูงขึ้นไป โดยคุณสมบัติที่สำคัญของนั่งร้าน คือ ทำให้รู้สึกว่าสามารถขอความช่วยเหลือจากคนอื่นได้ ทำให้รู้สึกท้าทาย เกิดขึ้นในเวลาสำคัญ และแตกต่างกันไปในแต่ละช่วงเวลาของการพัฒนา
  • โค้ชที่ดีจะช่วยพัฒนาศักยภาพ: การพัฒนาศักยภาพที่แท้จริง ต้องมีการวิเคราะห์ ปรับปรุง และรับฟัง feedback อย่างสม่ำเสมอ โดยคนที่จะเป็น “โค้ช” ที่คอยแนะนำเราได้ ควรเป็นคนที่มี 1. ความน่าเชื่อถือ 2. ใส่ใจเรา และ 3.มีความคุ้นเคยกับเรา หากขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไป เราอาจจะไม่ได้รับคำแนะนำที่ช่วยพัฒนาศักยภาพจริงๆ เช่น ถ้าเป็นคนที่คุ้นเคยกับเราและใส่ใจเรา แต่ไม่น่าเชื่อถือ อาจจะให้คำแนะนำผิดๆ หรือถ้าเป็นคนที่น่าเชื่อถือและคุ้นเคยกับเรา อาจจะให้คำแนะนำที่ไม่ตรงกับสถานการณ์เราก็ได้
  • กล้าที่จะผิดพลาด: ความล้มเหลวเป็นส่วนสำคัญของกระบวนการเรียนรู้และพัฒนา ถ้าเราทำอะไรผิด แล้วมารู้เฉลยที่ถูกต้องทีหลัง เราจะมีแนวโน้มผิดพลาดน้อยลง และถ้าเราได้รับแรงกระตุ้นให้ทำผิดได้ หรือเรารู้สึกปลอดภัยที่จะทำพลาด สุดท้ายแล้วเราจะพลาดน้อยลงและจะกลายเป็นแรงจูงใจให้เรียนรู้ต่อไป เช่น ถ้าเรียนภาษา ให้ลองพูดผิดให้ได้วันละ 200 ครั้งแล้วจะเรียนรู้ไว
Asset 2020

Factfulness จริงๆ แล้วโลกดีขึ้นทุกวัน โดย Hans Rosling

รีวิวสั้นๆ...
อ่านแล้วเหมือนโดนเอาข้อมูลมาตอกหน้าอคติที่เรามีแบบไม่รู้ตัว เป็น must-read อีกเล่มที่จะช่วยลดอคติของเรา ผ่านการตีแผ่ข้อเท็จจริงให้เรามองมุมกลับ

เล่มนี้ Bill Gates, Howard Marks แนะนำ!

ถ้าใครอยากเปิดโลก และเรียนรู้ความเป็นไปของโลกผ่าน fun facts ที่น่าประหลาดใจ หนังสือเล่มนี้จะทำให้มุมมองที่เรามีต่อโลกดีขึ้น ด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลสถิติในด้านต่างๆ เรียบเรียงออกมาเป็นข้อเท็จจริงที่จะลบอคติหลายๆ อย่างที่เรามี ทั้งในด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม

หนังสือจะวิเคราะห์ถึงสัญชาตญาณ 10 อย่างของเราที่ทำให้เกิดอคติ นำเสนอข้อมูลต่างๆ ในแต่ละหัวข้อเพื่อลบอคติของเราออก และให้คำแนะนำว่าเราจะระวังไม่ให้มีอคตินั้นอย่างไร เช่น อคติชอบคิดในแง่ลบ อคติชอบเหมารวม อคติของการมองมุมมองด้านเดียว ฯลฯ

Teaser แนวคิดที่น่าสนใจ:

  • สัญชาตญาณแห่งความเป็นลบ: คนเรามักจะให้ความสำคัญกับข่าวร้ายมากกว่าข่าวที่สื่อถึงความก้าวหน้า ซึ่งจะทำให้เราชอบมองโลกในแง่ร้ายเกินไป เช่น สื่อมักรายงานปัญหาความยากจนของโลกอยู่ตลอด แต่จริงๆ แล้วความยากจนขั้นรุนแรงนั้นลดลงมาเยอะมากในหลายทศวรรษที่ผ่านมา จาก 50% ในปี 1966 เหลือแค่ 9% ในปี 2017
  • สัญชาตญาณแห่งเส้นตรง: คนเรามักคิดว่าทุกอย่างจะเพิ่มขึ้นหรือลดลงในอัตราคงที่ แต่ความจริงแล้ว หลายๆ อย่างมักเปลี่ยนแปลงแบบไม่เป็นเส้นตรง เช่น การเติบโตของประชากรโลก ซึ่งกำลังชะลอตัวลงและคาดว่าจะคงที่ในอนาคต แทนที่จะเพิ่มขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุดตามที่หลายคนเคยกังวล
  • สัญชาตญาณแห่งการเหมารวม: คนเรามักจะชอบจัดกลุ่มสิ่งต่างๆ เข้าด้วยกันแบบง่ายเกินไป และมองข้ามความแตกต่างภายในกลุ่ม เช่น เราจัดประเภทของประเทศเป็น “พัฒนาแล้ว” และ “กำลังพัฒนา” แต่จริงๆ แล้วเหล่าประเทศที่กำลังพัฒนาเอง ก็มีความแตกต่างกันอย่างมากในด้านเศรษฐกิจ การศึกษา สังคม ฯลฯ ที่เราไม่ควรมองข้ามไป
Asset 2121

12 RULES FOR LIFE 12 กฎที่ใช้ได้ตลอดชีวิต โดย Jordan B. Peterson

รีวิวสั้นๆ...
เป็นหนังสือที่แนวคิดลึกซึ้ง อธิบายละเอียด อาจจะต้องใช้เวลาในการย่อยเนื้อหาบ้าง แต่อ่านจบแล้วจะได้ข้อคิดไปใช้ชีวิตให้มีความสุขขึ้นในทุกๆ ด้าน

เราจะใช้ชีวิตให้มีคุณค่าได้อย่างไรกัน? หนังสือเล่มนี้จะทำให้การใช้ชีวิตท่ามกลางความโกลาหลของโลกใบนี้ของเรามีความหมายและสบายมากขึ้น ด้วยกฎแห่งความเป็นจริง 12 ประการที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง โดยใช้หลักจิตวิทยา ปรัชญาชีวิต และหลักวิทยาศาสตร์ที่เป็นเหตุเป็นผลในการขยายความ จากจิตแพทย์ชื่อดังระดับโลก ที่จบจากมหาวิทยาลัยโทรอนโตและฮาร์วาร์ด

แต่ละบทในหนังสือจะอธิบายที่มาที่ไปของกฎแต่ละข้อ จากหลักจิตวิทยา หลักวิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ เรื่องราวที่เกิดขึ้นจริง รวมถึงประสบการณ์ส่วนตัว พร้อมทั้งตัวอย่างในการนำเอาไปใช้ในชีวิตจริงได้

Teaser แนวคิดที่น่าสนใจ

  • ยืนให้ตัวตรง อกผายไหล่ผึ่ง: ภาษากายของคนเรา นอกจากจะส่งผลต่อการรับรู้ของคนอื่น แต่ที่สำคัญคือมีผลต่อความรู้สึกของตัวเราเองด้วย เช่น การยืนให้อกผาย จะทำให้เรารู้สึกมั่นใจขึ้น โดย Jordan ยกตัวอย่างการทดลองทางจิตวิทยาที่แสดงให้เห็นว่าท่าทางของร่างกายสามารถเปลี่ยนระดับฮอร์โมนและความมั่นใจของเราได้จริง
  • ดูแลตัวเองให้ดี เหมือนเวลาที่ดูแลคนอื่น: หลายๆ ครั้ง เราจะดูแลใส่ใจคนที่เรารัก มากกว่าที่เราใส่ใจตัวเอง เช่น มีผู้ป่วยที่ไม่ยอมกินยาตามแพทย์สั่งจนร่างกายมีปัญหา แต่กลับดูแลให้สุนุขของตนกินยาอย่างสม่ำเสมอ แต่จริงๆ แล้วไม่มีใครเป็นที่พึ่งให้ตัวเราเองได้ดีกว่าตัวเราแล้ว
  • สงสัยไว้ก่อนว่าคุณที่กำลังฟังอาจรู้บางสิ่งที่คุณไม่รู้: เราทุกคนมีประสบการณ์และมุมมองที่เป็นเอกลักษณ์ เพราะฉะนั้นการเปิดใจและการฟังอย่างตั้งใจอาจทำให้เราได้มุมมองใหม่ๆ และหาคุณค่าในความเห็นต่างได้ แบบที่ Jordan เองก็ได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ ที่เขาไม่เคยคาดคิดจากผู้ป่วยทางจิตเช่นกัน
Asset 2222

Mindset ใช้ความคิดเอาชนะโชคชะตา โดย Carol S. Dweck

รีวิวสั้นๆ...
นี่คือหนังสือเล่มแรกที่คนที่อยากเริ่มพัฒนาตนเองต้องอ่าน เพราะการพัฒนาเริ่มต้นที่ Mindset ที่ดี อ่านแล้วจะเป็นคนเปิดกว้างมากขึ้น

อยากพัฒนาตัวเองให้เป็นคนที่มี Growth Mindset รึเปล่า? หนังสือเล่มนี้คือต้นคิดของคำว่า Growth Mindset ที่เราได้ยินกันบ่อยๆ ซึ่งจะทำให้เราได้รู้จักหลักการในการพัฒนากรอบความคิดของเราให้พร้อมที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ตลอดเวลา แทนที่จะจมอยู่กับที่แบบคนที่มี Fixed Mindset และไม่ยอมพัฒนา

Carol เริ่มต้นหนังสือด้วยการอธิบายเกี่ยวกับ Growth Mindset (กรอบความคิดแบบเติบโต) และ Fixed Mindset (กรอบความคิดแบบตายตัว) จากนั้นแต่ละบทจะประยุกต์ใช้แนวคิดนี้ในแต่ละด้านของชีวิต ทั้งการศึกษา กีฬา ธุรกิจ ความสัมพันธ์ และการพัฒนาตนเอง โดยใช้ผลวิจัย กรณีศึกษา และเรื่องราวจากชีวิตจริงในการอธิบาย

Teaser แนวคิดที่น่าสนใจ

  • คนที่จะพัฒนาคือคนที่มี Growth Mindset: Carol อธิบายว่าคนที่มีกรอบความคิดแบบเติบโตเชื่อว่าความสามารถสามารถพัฒนาได้ผ่านความพยายามและการเรียนรู้ ในขณะที่คนที่มีกรอบความคิดแบบตายตัวเชื่อว่าความสามารถเป็นสิ่งที่ติดตัวมาแต่กำเนิดและไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เช่น พนักงานคนหนึ่งอาจจะมองโปรเจกต์ใหม่ๆ เป็นโอกาสในการลองทำอะไรใหม่ๆ เพื่อพัฒนา ในขณะที่อีกคนกลับมองว่าเป็นการฝืนความสามารถตัวเองเกินไปและไม่อยากทำ
  • ชมคนอื่นอย่างสร้างสรรค์: คำชมไม่ได้มีผลดีเสมอไป เพราะวิธีที่เราชมคนอื่นมีผลต่อการพัฒนากรอบความคิดของคนๆ นั้น การชมที่ความสามารถ หรือความฉลาด จะทำให้คนๆ นั้นยึดติดกับความสามารถที่ตนมีและหยุดพัฒนา เพราะฉะนั้นให้ชมที่กระบวนการและความพยายามของคนๆ นั้นแทน เพื่อให้เขามีกำลังใจในการพัฒนาต่อ เช่น แทนที่จะชมว่า “เก่งมาก” ให้ชมว่า “ขยันทำงานมาก และคิดวิธีแก้ปัญหาได้ดีจริงๆ”
  • กล้าที่จะเผชิญหน้ากับความล้มเหลว: คนที่มีกรอบความคิดแบบเติบโตมองความล้มเหลวเป็นโอกาสในการเรียนรู้และพัฒนา ไม่ใช่การตัดสินคุณค่าของตนเอง นักกีฬาโอลิมปิกจะไม่ยอมแพ้หรือโทษปัจจัยภายนอกอย่างสภาพอากาศหรือสนามแข่ง แต่จะใช้ความพ่ายแพ้เป็นแรงผลักดันให้ฝึกซ้อมหนักขึ้นและพัฒนาให้ดีขึ้น
Asset 2323

Made to Stick ติดอะไรไม่เท่าติดหนึบ โดย Chip Heath, Dan Heath

รีวิวสั้นๆ...
อ่านง่าย อ่านแล้วจะรู้ซึ้งถึงพลังของการเล่าเรื่อง (story telling) ผู้เขียนแชร์ทริคเป็นข้อๆ 6 ข้อ จำง่าย ทำง่าย เอาไว้ใช้เสนอไอเดียกับหัวหน้า ลูกน้อง หรือแม้แต่กับพ่อแม่หรือลูก ก็ยังได้

เคยไหม พูดอะไรไปทำไมคนอื่นไม่เห็นเข้าใจแบบเราเลย? ถ้ากำลังมองหาเทคนิคง่ายๆ ที่จะช่วยให้เราสื่อสารอะไรไปแล้วคนจำได้แม่น หนังสือเล่มนี้จะช่วยสอนทริคในการสื่อสาร 6 ข้อที่เรียบง่ายแต่นำไปใช้ได้จริง ที่จะทำให้คนฟังเก็ทเร็ว คล้อยตาม ประทับใจและจดจำไอเดียของเราไปได้อีกนาน

หนังสือแบ่งเป็น 6 ส่วนตามหลักการเทคนิคการสื่อสารอย่างไรให้น่าจดจำ 6 ข้อ ย่อเป็นคำว่า “SUCCESS” โดยแต่ละข้อจะมีการยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดเจน และทำตามได้ง่าย

Teaser แนวคิดที่น่าสนใจ:

  • Simple (เรียบง่าย): ความคิดที่ทรงพลังต้องกระชับและเข้าใจง่าย เช่น “Just Do It” ของ Nike
  • Unexpected (ไม่คาดคิด): ความคิดที่สร้างความประหลาดใจจะดึงดูดความสนใจได้ดีกว่า
  • Concrete (เป็นรูปธรรม): การทำให้คนเห็นภาพเป็นรูปธรรมจะช่วยให้เข้าใจง่ายขึ้น เช่น แทนที่จะบอกว่า “อาหารไขมันสูง” ให้บอกว่า “อาหารจานนี้มีไขมันเท่ากับเนย 2 ก้อน” 
  • Credible (น่าเชื่อถือ): การใช้สถิติ ผู้เชี่ยวชาญ หรือประสบการณ์ตรงจะสามารถสร้างความน่าเชื่อถือได้ เช่น “9 ใน 10 ทันตแพทย์แนะนำยาสีฟันนี้”
  • Emotional (สร้างอารมณ์): การสร้างอารมณ์ร่วมจะทรงพลังมากกว่าการบอกแต่ข้อเท็จจริงล้วนๆ
  • Stories (เรื่องราว): การเล่าเรื่องจะช่วยให้ผู้ฟังเข้าใจและจดจำข้อมูลได้ดีกว่า เช่น แทนที่ Steve Jobs จะ
Asset 2424

Man’s Search for Meaning ชีวิตไม่ไร้ความหมาย โดย Viktor E. Frankl

หนังสือพัฒนาตัวเอง
รีวิวสั้นๆ...
อ่านแล้วทำให้เข้าใจ ปล่อยวาง และจัดการความทุกข์ได้ดีขึ้น ไม่ยึดติดกับความสุขหรือความทุกข์ ทำให้มีกำลังใจและมีแนวทางในการก้าวข้ามอุปสรรคในชีวิตได้ดีขึ้น

เล่มนี้ Charlie Munger แนะนำ!

ทุกวันนี้เรามีความสุขกับการใช้ชีวิตจริงๆ หรอ? ความหมายชีวิตของเราคืออะไรกันแน่? หนังสือเล่มนี้จะช่วยให้เราเข้าใจความสำคัญของการค้นหาความหมายในชีวิต และสร้างแรงบันดาลใจในการรับมือกับความทุกข์ ผ่านการเล่าเรื่องของ วิกเตอร์ ฟรังเกิล ที่ค้บพบคุณค่าในการเอาชีวิตรอดจากค่ายกักกัน 4 แห่งของนาซี

เล่มนี้แบ่งเป็นสองส่วนหลัก คือการเล่าประสบการณ์ของ Viktor ในค่ายกักกันนาซีช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และการอธิบายถึงทฤษฎี Logotherapy (จิตบำบัดแนวความหมายในชีวิต) ที่เขาคิดค้นขึ้น พร้อมทั้งแนวทางในการนำมาปรับใช้ให้ชีวิตของเรามีความหมายมากขึ้น

Teaser แนวคิดที่น่าสนใจ:

  • การค้นหาความหมายเป็นแรงจูงใจหลักของมนุษย์: สิ่งที่ทำให้คนก้าวผ่านความทุกข์ยากในชีวิตได้คือการมีเป้าหมายหรือความหมายในชีวิต ไม่ใช่การค้นหาความสุข หรือหลีกเลี่ยงความเจ็บปวด จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมมนุษย์จึงพร้อมที่จะทนทุกข์ภายใต้เงื่อนไขที่เขาแน่ใจว่าความยากลำบากของเขามีความหมาย
  • เราควบคุมสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราไม่ได้ แต่เราเลือกตอบสนองกับมันได้: แม้ในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด มนุษย์เรายังคงมีสิทธิในการเลือกว่าจะตอบสนองต่อสถานการณ์นั้นอย่างไร ว่าจะมีทัศนคติอย่างไรกับสิ่งที่เกิดขึ้น ขอแค่เราเลือกที่จะคิดในสิ่งดีๆ มองในแง่ดี
  • ความทุกข์ที่มีความหมาย: ทุกความทุกข์ไม่จำเป็นจะต้องมีความหมาย แต่เราสามารถหาความหมายจากความทุกข์ได้ เช่น การที่ Viktor ยอมทนทุกข์อยู่ในค่ายกักกัน คือการที่เขาทำให้ภรรยาไม่ต้องมาทนทุกข์อยู่ที่นี่กับเขา
Asset 2525

THE COMPOUND EFFECT สะสมนิสัยเล็กๆ สร้างความสำเร็จให้ทวีคูณ โดย Darren Hardy

รีวิวสั้นๆ...
เล่มนี้เน้นสอนวิธีการทำสิ่งเล็กๆ ยังไงให้สม่ำเสมอได้ตลอด จนเราสำเร็จได้จริง ท้ายบทจะมีลิสต์สิ่งที่ควรทำ (next step) เป็นข้อๆ ที่เอาไปทำตามได้ง่ายๆ เลย อ่านคู่กับ Atomic Habits จะทำให้ได้ทริคเพิ่มขึ้นไปอีก

ถ้ากำลังมองหาวิธีการทำสิ่งเล็กๆ อย่างสม่ำเสมอให้สำเร็จ หนังสือเล่มนี้จะนำเสนอหลักการง่ายๆ 6 ข้อ ที่จะช่วยให้เรารู้จักการทำสิ่งที่ดีวันละนิดทุกวัน เพื่อผลลัพธ์ที่ทวีคูณในระยะยาว โดยมีตัวอย่างและขั้นตอนชัดเจนว่าควรเริ่มอย่างไร รวมถึงต้องทำอย่างไรถึงจะสม่ำเสมอได้จริง และได้ความสำเร็จเข้ามาครอบครอง

หนังสือเล่มนี้มีทั้งหมด 6 บทแบ่งตามหลักการ 6 ข้อของ Darren โดยอธิบายผ่านเรื่องเล่าจากชีวิตจริง การทดลองทางจิตวิทยา และหลักแนวคิดทางการเงินของการ “ทบดอกเบี้ย” ซึ่งจะทำให้เราเห็นภาพว่าพลังของการสะสมสิ่งเล็กๆ น้อยๆ อย่างต่อเนื่องจะทำให้ได้ผลลัพธ์ยิ่งใหญ่ในระยะยาวได้อย่างไร

Teaser แนวคิดที่น่าสนใจ:

  • พลังของการตัดสินใจเล็กๆ: ทุกการตัดสินใจแม้จะเล็กน้อย ล้วนมีผลต่อชีวิตในระยะยาวทั้งหมด เช่น คนหนึ่งเลือกที่จะอ่านหนังสือพัฒนาตนเอง 10 นาทีทุกวัน ส่วนอีกคนเลือกที่จะดูทีวีเพิ่มวันละ 30 นาที ผ่านไป 5 ปี คนที่อ่านหนังสือจะมีความรู้และโอกาสในการเติบโตมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด 
  • พลังของการเริ่มก่อน: ยิ่งเราเริ่มทำสิ่งเล็กๆ เร็วขึ้นเท่าไหร่ เราจะยิ่งได้ผลลัพธ์ทวีคูณที่มากขึ้นในอายุที่เท่ากัน เช่น ถ้าเราลงทุนเดือนละ 7,500 และได้กำไร 8% ตอนอายุ 23 เราจะมีเงินเก็บเกือบๆ 16 ล้านตอนที่เราเกษียณที่อายุ 60 แต่หากเริ่มตอนอายุ 40 เราจะมีเงินไม่ถึง 3 ล้านด้วยซ้ำ
  • พลังของการจดบันทึก: การบันทึกการกระทำที่เราอยากจะติดตามในทุกๆ วัน เช่น การกิน การใช้จ่าย การเรียน จะช่วยให้เห็น pattern การใช้ชีวิตของเรามากขึ้น และทำให้เห็นสิ่งที่เราคิดว่า “ทำถูก” และ “ทำพลาด” ได้ง่าย และยอมจำนนจากสิ่งที่เกิดขึ้นจริง แทนที่จะหาข้ออ้างกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ไปเรื่อยๆ ถ้าลองบันทึกจำนวนครั้งที่เรากินขนมหวาน อาจจะเจอว่าเราติดหวานกว่าที่คิดก็ได้นะ
Asset 2626

SHOE DOG โดย Phil Knight

รีวิวสั้นๆ...
เรื่องราวจุดเริ่มต้นของ Nike กว่าจะมาเป็นตัวท็อปของตลาด ที่จะทำให้เราเข้าใจถึงความท้าทายต่างๆ ในการทำธุรกิจ แต่อ่านแล้วจะรู้สึกมีไฟอยากปั้นธุรกิจ ไม่ว่าจะอุปสรรคโหดหินแค่ไหนก็ตาม!

เล่มนี้ Bill Gates, Tim Cook, Warren Buffett แนะนำ!

สำหรับใครที่มองหาเรื่องราวที่จะสร้างแรงบันดาลใจในการทำธุรกิจ หนังสือเล่มนี้จะพาไปเดินตามเส้นทางชีวิตของฟิล ไนต์ ผู้ก่อตั้ง Nike ตั้งแต่วันที่เขาเป็นเพียงตัวแทนขายรองเท้า จนกลายเป็นบริษัทระดับโลก ซึ่งจะช่วยให้เราได้เข้าใจถึงหัวใจของการทำธุรกิจ อุปสรรคที่เราต้องเจอ และวิธีการก้าวข้ามมันไป ผ่านการเล่าเรื่องที่ชวนให้น่าติดตามทุกตอน

เล่มนี้เรียบเรียงและเล่าโดยผู้ก่อตั้ง Nike เอง เลยเป็นเหมือนบันทึกความทรงจำในแต่ละปีของการปั้น Nike ให้เห็นภาพถึงความท้าทายต่างๆ และเรียนรู้ถึงกุญแจสำคัญที่ทำให้ Nike โตจาก 0 ในปี 1964 และกลายเป็นแบรนด์รองเท้าชั้นนำทั่วโลก

Teaser แนวคิดที่น่าสนใจ:

  • เริ่มด้วยใจรักและการเปิดรับโอกาส: Phil เรียนจบบัญชีและได้เข้าทำงานในบริษัทชั้นนำ แต่ด้วยความหลงใหลในการวิ่ง ประสบกับการได้ลองใส่รองเท้าวิ่ง Onitsuka Tiger ตอนไปเที่ยวญี่ปุ่น ซึ่งทำให้เขาตะลึงในคุณภาพที่สมราคา Phil จึงตัดสินใจทำในสิ่งที่เขารักและรู้จักดีในฐานะลูกค้า นั่นคือการขายรองเท้าวิ่งนั่นเอง
  • ทุกวิกฤตมีโอกาสเสมอ: เมื่อ Phil เป็นตัวแทนขายรองเท้า Onitsuka ที่อเมริกาไปได้สักพัก ก็มีปัญหากับทาง Onitsuka จนเกือบจะต้องขายบริษัทให้ทางญี่ปุ่น Phil จึงพลิกวิกฤตให้กลายเป็นโอกาส เขาตามหาโรงงานผลิตรองเท้าทั่วโลก และตัดสินใจเริ่มทำแบรนด์รองเท้า Nike ด้วยตัวเอง ซึ่งวิกฤตนั้นกลายเป็นจุดเริ่มต้นของ Nike ในทุกวันนี้
  • ทีมที่แข็งแกร่งจะทำให้ไปได้ไกล: Phil สร้างทีมด้วยคนที่มีความสามารถและเชื่อใจได้ อย่าง Bill Bowerman อดีตโค้ชวิ่งที่มาช่วยดีไซน์รองเท้า หรือจะเป็นพนักงานขายคนแรก Jeff Johnson ที่ขายรองเท้าได้ 3,250 คู่ใน 10 เดือน ซึ่งทำให้บริษัทเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด
Asset 2727

The Daily Stoic สโตอิกรายวัน โดย Ryan Holiday, Stephen Hanselman

หนังสือพัฒนาตัวเอง-หนังสือน่าอ่าน
รีวิวสั้นๆ...
เล่มนี้รวมโควทสั้นๆ พร้อมคำอธิบายและตัวอย่างการปรับใช้แนวคิดในปัจจุบัน เหมาะกับคนที่อยากได้ข้อคิดเตือนสติในสไตล์เรื่อยๆ แบบไม่ต้องอ่านอะไรยืดเยื้อ

ใครที่อยากอ่านข้อคิดเตือนสติในทุกๆ วัน หนังสือเล่มนี้รวม 366 ข้อคิดจากปรัชญาสโตอิกให้เราอ่านวันละเรื่อง ที่พออ่านแล้วจะรู้สึกว่าเป็นข้อคิดที่เมคเซนส์มากๆ และบางทีก็เป็นสิ่งที่เราเผลอมองข้ามไปในชีวิต โดยจะสอนให้เรารู้จักอยู่กับปัจจุบัน ตัดสินใจอะไรด้วยความใจเย็น และตอบสนองต่อเหตุการณ์ต่างๆ อย่างมีสติรอบคอบ

หนังสือเล่มนี้จะมีอยู่ด้วยกัน 3 ส่วน ซึ่งแต่ละส่วนจะเสนอถึงหลักคิดและปรัชญาอยู่ 3 อย่างด้วยกัน ส่วนแรกนำเสนอถึงหลักการแห่งมุมมอง ส่วนที่สอง หลักการแห่งการกระทำ และส่วนที่สาม หลักการแห่งเจตจำนง เพื่อให้เรารู้จักการหาทนทางในการรับมือกับอุปสรรคในชีวิต ซึ่งเป็นการนำแนวคิดจากยุคกรีกโบราณมานำเสนอให้เข้ากับยุคปัจจุบัน

Teaser แนวคิดที่น่าสนใจ

  • การควบคุมตนเอง: หนึ่งในแนวคิดหลักของปรัชญาสโตอิกคือการแยกแยะระหว่างสิ่งที่เราควบคุมได้กับสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้ ซึ่งเราควรให้ความสำคัญกับการควบคุมความคิด อารมณ์ และการกระทำของเราเอง และไม่ต้องไปพยายามควบคุมสิ่งที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของเรา เช่น ความคิดเห็นของผู้อื่น หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโลกภายนอก เพื่อให้เราบรรลุถึงความสงบสุขจากภายใน
  • การให้ความสำคัญกับปัจจุบัน: เราควรใช้ชีวิตในปัจจุบันอย่างเต็มที่ ไม่ควรกังวลเกี่ยวกับอดีตที่ผ่านไปแล้วหรืออนาคตที่ยังไม่มาถึง แนวคิดนี้ช่วยให้เรามีความสุขและสงบสุขมากขึ้น โดยการรับรู้และยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนั้นโดยไม่ตัดสินหรือวิตกกังวล
  • การพัฒนาตนเอง: เราควรพยายามเป็นคนที่ดีมีคุณธรรมขึ้นในทุกๆ วัน เพื่อให้ชีวิตของเรามีคุณค่า มีความหมาย และดำเนินไปในทางที่ถูกต้อง เช่น การเป็นคนซื่อสัตย์ กล้าหาญ ยุติธรรม มีความรับผิดชอบ ฯลฯ
Asset 2828

ขาย 100 คน ซื้อ 99 คน โดย Kagata Akira

รีวิวสั้นๆ...
เป็นอีกเล่มที่รวมเทคนิคการขายไว้ได้ดี ตัวอย่างที่เข้าใจง่าย เหมาะกับบริบทของชาวเอเชีย ช่วยเสริมเล่ม How to Win Friends ได้ดี

มองหาวิธีการขายที่จะทำให้ปิดลูกค้าได้เยอะๆ อยู่รึเปล่า? หนังสือเล่มนี้จะช่วยแนะนำเทคนิคการขายให้มัดใจลูกค้าได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ ทำให้เรามี mindset ของนักขายที่สามารถเข้าใจ pain point ของลูกค้า และขายสินค้าหรือบริการของเราให้ตอบโจทย์ในสิ่งที่เขามองหาได้จริง ด้วยเคล็ดลับจากเจ้าของฉายาพระเจ้าแห่งการขายของญี่ปุ่น

หนังสือเล่มนี้มีทั้งหมด 4 บท แต่ละบทก็จะนำเสนอแนวคิดด้านการขายรูปแบบต่างๆ ตั้งแต่ ภาคปรัชญา, ภาคทฤษฎี, ภาคตอบกลับการปฏิเสธ และภาคเคล็ดลับขั้นสุดยอด เพื่อควบคุมเจตนารมณ์ของอีกฝ่ายให้ได้ดั่งใจนึก ซึ่งใครที่อยากขายเก่ง พูดเป็น โต้กลับได้ เล่มนี้ช่วยได้เยอะอย่างแน่นอน

Teaser แนวคิดที่น่าสนใจ:

  • เข้าใจลูกค้า: การทำความเข้าใจลูกค้าคือพื้นฐานของการขาย นอกจากจะต้องรู้ข้อมูลพื้นฐานแล้ว ต้องทำความเข้าใจถึงความต้องการ ความรู้สึก และปัญหาของลูกค้า รวมถึงต้องรับฟังและสังเกตลูกค้าให้ดี จะช่วยให้สามารถปรับการนำเสนอสินค้าหรือบริการให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น
  • สร้างความเชื่อมั่น: การสร้างความเชื่อมั่นเป็นสิ่งสำคัญในการขาย นักขายจะต้องสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและซื่อสัตย์กับลูกค้า โดยการให้ข้อมูลที่ถูกต้อง โปร่งใส และต้องรักษาคำพูด ลูกค้าจะมีแนวโน้มซื้อสินค้าหรือบริการมากขึ้นเมื่อเชื่อมั่นในตัวผู้ขาย
  • เทคนิคจัดการข้อโต้แย้ง: ในการขาย ผู้ขายมักจะพบกับข้อโต้แย้งหรือคำถามจากลูกค้าอยู่แล้ว ดังนั้นผู้ขายควรเตรียมตัวและคิดแผนการจัดการกับข้อโต้แย้งเหล่านี้ไว้ล่วงหน้าตั้งแต่ก่อนเริ่มคุยกับลูกค้า เช่น เตรียมวิธีการตอบคำถามที่ลูกค้ามักถามบ่อย ให้มีความสุภาพ มีเหตุผล และแสดงให้เห็นถึงข้อดีของสินค้าหรือบริการ
Asset 2929

TALKING TO STRANGERS ศิลปะแห่งการอ่านคน โดย Malcolm Gladwell

รีวิวสั้นๆ...
อ่านแล้วจะได้รู้ถึงอคติที่เรามีกับการด่วนตัดสินคนไปก่อนที่จะได้รู้ข้อมูลจริง และทำให้เราระมัดระวังตัวมากขึ้น รวมถึงเข้าใจหลักการอ่านคนได้ดีขึ้น

ทำไมมนุษย์เรามักชอบด่วนตัดสินคนอื่นแบบผิดๆ ? ทำไมบางครั้งเราถึงเชื่อใจคนทรยศและว่าร้ายคนบริสุทธิ์? หนังสือเล่มนี้จะทำให้เราเข้าใจถึงปัจจัยต่างๆ ที่ทำให้เรามีอคติ ชอบตัดสินคนไม่รู้จักแบบผิดๆ วิเคราะห์ให้เห็นถึงผลกระทบที่ตามมาจากการเข้าใจผิด และแนะนำวิธีหลีกเลี่ยงการเข้าใจผิดเหล่านั้น ผ่านการเล่าเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นจริง

หนังสือเล่มนี้จะมีถึง 5 ส่วนด้วยกัน ซึ่งในแต่ละพาร์ทจะเสนอถึงแนวคิดด้านจิตวิทยาแห่งการสื่อสารและการวิเคราะห์อย่างชาญฉลาด มีการเล่าตัวอย่างเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริง ทิ้งปมให้เราสงสัย และค่อยๆ คลายปมผ่านการอธิบายหลักจิตวิทยาทีละหลัก เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในผลงานอันดับ 1 จาก Malcolm Gladwell นักคิดและนักเขียน 1 ใน 100 บุคคลผู้ทรงอิทธิพลที่สุดโดยนิตยสาร TIME

Teaser แนวคิดที่น่าสนใจ:

  • อคติจากการเริ่มต้นด้วยการเชื่อว่าเป็นความจริง (Default to Truth): มนุษย์มีแนวโน้มที่จะเชื่อว่าคนอื่นพูดความจริงเสมอเมื่อพบกันครั้งแรก อคตินี้ช่วยให้สังคมของเราดำเนินต่อไปได้อย่างราบรื่น ไม่อย่างนั้นกว่าเราจะเชื่อใจคนได้ สิ่งต่างๆ คงดำเนินไปได้ช้ามาก แต่ในบางครั้งก็อาจนำไปสู่ความเข้าใจผิดและการถูกหลอกลวงได้ เช่น การโดนนักต้มตุ๋นหลอก ด้วยการใช้ประโยชน์จากความเชื่อที่คนอื่นคิดว่าเขาพูดความจริง
  • ปัญหาของการตีความพฤติกรรมที่ผิดพลาด (Misinterpretation of Behavior): มนุษย์มีแนวโน้มที่จะตีความพฤติกรรมของคนอื่นจากมุมมองของตนเอง โดยไม่รู้ข้อแท็จจริง ซึ่งอาจนำไปสู่ความเข้าใจผิด เช่น กรณีของ Sandra Bland (หญิงสาวชาวแอฟริกัน-อเมริกัน) และ Brock Turner (ตำรวจอเมริกัน) ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการตีความพฤติกรรมของคนแปลกหน้าในบริบทที่ไม่คุ้นเคยสามารถนำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาดและผลกระทบที่รุนแรง
  • การไม่เข้าใจวัฒนธรรมและบริบท (Cultural and Contextual Misunderstanding): การไม่เข้าใจวัฒนธรรมหรือบริบทที่แตกต่างกันอาจนำไปสู่ความเข้าใจผิดและความขัดแย้ง เช่น การสัมภาษณ์และการสื่อสารระหว่างคนจากวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน อาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดและการสื่อสารที่ล้มเหลว
Asset 3030

กฎเหนือกฎเพื่อชีวิตที่มีความหมาย โดย Jordan B. Peterson

หนังสือพัฒนาตัวเอง
รีวิวสั้นๆ...
กฎอีก 12 ข้อที่ลึกซึ้งพอๆ กับ 12 ข้อแรกของจอร์แดน อ่านแล้วจะได้ข้อคิดเพิ่มเติมในการใช้ชีวิตให้มีความหมายในทุกๆ ด้าน ทั้งเรื่องงาน ความรัก สังคม และการใช้ชีวิตแต่ละวัน

ถ้าใครประทับใจกฎที่ใช้ได้ตลอดชีวิต 12 ข้อของจอร์แดน ปีเตอร์สัน จิตแพทย์ชื่อดังระดับโลก ที่จบจากมหาวิทยาลัยโทรอนโตและฮาร์วาร์ด และอยากได้แนวทางการใช้ชีวิตที่จะทำให้เรายืนหยัดอย่างแข็งแกร่งต่อความโกลาหลต่างๆ ได้มากขึ้น

หนังสือเล่มนี้จะช่วยเตือนสติเราด้วยกฎแห่งความเป็นจริงอีก 12 ข้อ เพื่อไม่ให้เราพลาดหลงละเลิงไปกับสังคมที่วุ่นวาย และโดนกลืนกินความหมายในการมีชีวิตอยู่ของเราไป

เล่มนี้ใช้วิธีการอธิบายที่มาที่ไปของกฎแต่ละข้อในลักษณะเดียวกันกับเล่มแรก มีการนำหลักจิตวิทยา หลักวิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ เรื่องราวที่เกิดขึ้นจริง รวมถึงประสบการณ์ส่วนตัว มาอธิบายให้ผู้อ่านเข้าใจกฎแต่ละข้อมากขึ้นเช่นเคย

Teaser แนวคิดที่น่าสนใจ:

  • จินตนาการภาพคนที่คุณจะเป็นได้ แล้วมุ่งไปเป็นคนคนนั้นโดยไม่ว่อกแว่ก: ร่างกายและจิตใจของคนเรามีผลต่อสิ่งต่างๆ ในชีวิตของเราเป็นอย่างมาก ถ้าเราสามารถตั้งเป้าหมาย และจิตนาการภาพของเป้าหมายนั้นได้ เราจะมีกำลังใจในการฝึกฝนตนเองเพื่อไปให้ถึงภาพที่จินตนาการไว้ และสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณค่ามากขึ้น 
  • อย่าเก็บซ่อนสิ่งที่ไม่ต้องการไว้ในม่านหมอก: เราไม่ควรหนีจากปัญหาที่เรามี และหวังว่ามันจะหายไป เพราะนอกจากปัญหาจะไม่ถูกแก้แล้ว จะทำให้ปัญหาต่างๆ สะสมเยอะขึ้นเรื่อยๆ จนส่งผลกระทบให้ชีวิตแย่ลง เราควรใช้ความกล้าหาญเผชิญหน้ากับปัญหา โดยเริ่มจากการรับรู้ปัญหา ทำความเข้าใจสถานการณ์ และค่อยๆ คิดหาทางแก้ไขไปทีละขั้น
  • ถ้าความทรงจำเก่าๆ ยังคงทำให้คุณรู้สึกแย่ จงเขียนมันออกมาอย่างละเอียดให้หมดสิ้น: คนเรามักไม่กล้าเผชิญหน้ากับอดีตเพราะทุกๆ ครั้งที่หวนนึกถึงจะทำให้เรารู้สึกแย่ แต่จริงๆ แล้ววิธีที่ดีที่สุดในการพาให้เราก้าวข้ามอดีตไปได้และดึงตัวเรากลับมาในปัจจุบัน คือการยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นและให้อภัยสิ่งที่พลาดพลั้งไป ซึ่งการเขียนเหตุการณ์เหล่านั้นออกมาบนกระดาษจะบังคับให้เราต้องเผชิญหน้ากับมัน และปล่อยวางปมนั้นออกไปจากใจเราได้