ปีใหม่ทั้งทีก็ต้องเริ่มต้นสิ่งใหม่ๆ กัน หนึ่งในเป้าหมายของใครหลายๆ คนก็คงจะมีเรื่องของการเก็บเงินแบบมี Passive Income ซึ่งนอกจากการหารายได้เสริมผ่านงานอาชีพต่างๆ แล้วนั้น การนำเงินไปลงทุนก็เป็นอีกส่วนที่น่าสนใจ ซึ่งถ้าเพื่อนๆ ยังคิดไม่ออกว่าจะลงทุนอะไรดี พวกเรา LifeSara ก็ขอเสนอ 12 ไอเดียการลงทุน เพื่อความมั่งคั่งทางการเงินในอนาคตและวางแผนเกษียณในบั้นท้ายชีวิต!

หลายๆ คนอาจจะกลัวการลงทุนและมองว่าการลงทุนนั้นมีความเสี่ยง แต่รู้หรือไม่ว่า การไม่ลงทุน ก็เป็นความเสี่ยงอย่างหนึ่งเหมือนกัน เพราะการที่เราปล่อยเงินทิ้งไว้เฉยๆ เงินของเรานั้นอาจจะเกิดการด้อยค่าลงได้เนื่องจากเงินเฟ้อ ตัวอย่างที่สุดโต่งเลยก็คือ วิกฤตเงินเฟ้อในประเทศเวเนซุเอลา ที่อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นมากกว่า 1,000,000% จนเงินกลายเป็นกระดาษไร้ค่า

ซึ่งหากเราเข้าใจความเสี่ยงและเลือกการลงทุนที่เหมาะกับเรา ก็จะช่วยลดความเสี่ยงนั่นเอง เพราะฉะนั้นถ้าเพื่อนๆ จะลงทุนอะไรแล้ว ก็ควรศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนตัดสินใจลงทุนน้า อะ งั้นเราลองไปดูกันเลยดีกว่า ว่าถ้าอยากลงทุน เราจะลงทุนอะไรดี!

 

  1  

เงินฝาก

 

สำหรับการลงทุนอะไรดีข้อแรก ขอนำเสนอวิธีลงทุนที่ง่ายที่สุดโดยการนำเงินฝากธนาคารนั่นเอง โดยบัญชีเงินฝากธนาคารนั้นมีอยู่หลักๆ สามประเภท คือ 

  1. เงินฝากประจำ : มีระยะเวลาฝากถอนที่แน่นอน ถ้าถอนออกมาก่อนกำหนดอาจเสียค่าปรับหรือไม่ได้รับดอกเบี้ยตามที่ระบุ แต่เป็นบัญชีเงินฝากที่ให้ผลตอบแทนมากที่สุด 
  2. เงินฝากออมทรัพย์ : สามารถถอนเมื่อไหร่ก็ได้แต่ผลตอบแทนมักจะน้อยกว่าเงินฝากประจำ 
  3. เงินฝากกระแสรายวัน : ไม่มีดอกเบี้ย แต่สามารถถอนออกมาเมื่อไหร่ก็ได้

ข้อดี
– เป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ เพราะว่ามีโอกาสน้อยมากที่ธนาคารจะล้ม นอกจากนี้ การฝากเงินธนาคารยังเป็นการลงทุนที่ไม่มีขั้นต่ำอีกด้วย เรียกได้ว่าจะมีเงินเท่าไหร่ ก็สามารถลงทุนได้

ข้อเสีย
– ด้วยความที่ความเสี่ยงต่ำ ดอกเบี้ยเองก็ต่ำหรือน้อยตามลงไปด้วยนั่นเอง

 

  2  

สลากออมทรัพย์

 

สลากออมทรัพย์หรือมักรู้จักกันในชื่อ สลากออมสิน สลากธกส. และ สลากธอส. ซึ่งสลากออมทรัพย์นั้น เป็นอะไรที่คล้ายกับเงินฝากมาก แต่นอกจากจะเป็นการฝากเงินที่ได้ดอกเบี้ยแล้ว ก็ยังเป็นการเปิดประตูดวงลุ้นโชค ลุ้นรับเงินรางวัลโดยที่เงินต้นของเราก็จะยังอยู่ครบอีกด้วย  และต่อให้ไม่ถูกรางวัล แต่เราก็ยังได้ดอกเบี้ยกลับมาจากการฝากเงิน โดยที่เงินลงทุนขั้นต่ำนั้น อยู่ที่หลักสิบบาทเท่านั้น

ข้อดี
– เงินลงทุนขั้นต่ำอยู่ที่หลักสิบบาท ทำให้เริ่มลงทุนได้ง่าย
– มีโอกาสรับเงินรางวัลจากการถูกรางวัลฉลากเพิ่มเติมไปจากดอกเบี้ยที่ได้อยู่ประจำ

ข้อเสีย
– ดอกเบี้ยต่ำมาก ต่ำกว่าเงินฝากประจำเสียอีก

 

  3  

ที่ดิน

 

การลงทุนที่ดินเป็นหนึ่งในการลงทุนยอดนิยมมากๆ เนื่องจากที่ดินเป็นสิ่งของที่มีจำกัด ซึ่งตัวของที่ดินนั้น สามารถนำมาทำประโยชน์ได้หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการให้เช่าเพื่อการเกษตร (ปลูกผัก ทำนา) หรือการให้เช่าในเชิงพาณิชย์ อีกทั้งยังสามารถนำมาสร้างบ้านเพื่ออยู่อาศัย หรือ ใช้เป็นหลักค้ำประกันในการกู้เงินกับธนาคารได้อีกด้วย

ข้อดี
– เป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ และส่วนใหญ่ให้ผลตอบแทนสูงในระยะยาว เพราะโดยทั่วไปราคาที่ดินจะขึ้นตลอดทุกปี

ข้อเสีย
– ถือเป็นการลงทุนที่จำนวนเงินลงทุนค่อนข้างสูงและสภาพคล่องที่ต่ำ เพราะการเอาที่ดินไปเปลี่ยนเป็นเงินสดไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเลย คือเราก็ต้องหาทางเพิ่มมูลค่าให้กับมัน ไม่อย่างนั้น หากเป็นที่ดินเปล่าที่ไม่ได้ทำอะไรเลย เราก็จะต้องเสียภาษีในอัตรา 0.3% ของราคาประเมินอีกด้วย เพราะฉะนั้นถ้าเราไม่รู้จะใช้ประโยชน์จากที่ดินยังไง เราจะอาจจะต้องเสียเวลาหรือเสียเงินไปปลูกผักหรือปลูกกล้วยทิ้งไว้ เพื่อที่จะได้รับการยกเว้นภาษีหรือลดหย่อนภาษีนั่นเอง 
– ถึงแม้จะสามารถนำไปใช้เป็นหลักค้ำประกันจำนองหรือขายฝากได้ แต่ราคาจำนองหรือขายฝากก็อาจจะถูกกว่าราคาตลาดได้

 

  4  

คอนโด

 

ปัจจุบันคอนโดถือมาเป็นอีกสิ่งที่มีมูลค่ามากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งปัจจัยราคาค่าที่ดินและคอนโดก็จะปรับเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ทั้งจากการเพิ่มตัวหรือขยับขยายของโครงการที่อยู่อาศัย การกระจายตัวของโซนอุตสาหกรรม หรือเศรษฐกิจซบเซาเป็นต้น

ซึ่งหากเลือกคอนโดที่อยู่ในทำเลดีๆ ก็ถือว่าเป็นการลงทุนที่ดีอย่างหนึ่งเช่นกัน เพราะเราจะสามารถเก็บค่าเช่าคอนโดได้นั่นเอง ถือเป็นรายได้ระยะยาวหรือ passive income ที่ให้ผลตอบแทนการลงทุนที่มากกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก นอกจากนี้ยังสามารถใช้เป็นหลักประกันในการกู้เงินได้

ข้อดี
– ให้ผลตอบแทนการลงทุนที่มากกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก 
– การทำสัญญาและการให้เช่า ทำได้ไม่ยากซับซ้อนเท่าการปล่อยเช่าที่ดิน
– ถ้าเกิดที่ดินโซนนั้นราคาขึ้น มูลค่าของคอนโดก็จะขึ้นตามอีกเช่นกัน ทำให้มีโอกาสในการขายทำกำไรมากยิ่งขึ้น

ข้อเสีย
– มีสภาพคล่องต่ำหรือแปลงเป็นเงินสดได้ยากเช่นเดียวกับการลงทุนที่ดิน
– การเริ่มต้นลงทุนจะค่อนข้างใช้เงินเริ่มต้นที่สูง เพราะฉะนั้นก่อนที่เราจะลงทุนในคอนโด เราควรจะศึกษาให้ดีก่อนว่าทำเลและโครงการคอนโดดีไหม ค่าเช่าเมื่อนำมาหักลบกับค่าส่วนกลาง และค่าดูแลแล้ว มากกว่าผลตอบแทนที่เราจะได้รับหรือไม่ เป็นต้น

 

  5  

กองทรัสต์

 

พูดถึงการลงทุนอสังหามาสองข้อแล้ว ทีนี้เพื่อนๆ อาจจะรู้สึกว่า เงินที่ต้องใช้ลงทุนอาจจะเยอะ หรือต้องมีการบริหารจัดการดูแลเพิ่มเติม ทำให้เป็นการลงทุนที่ไม่ได้เหมาะกับคนทุกคน ดังนั้นกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate Investment Trust) หรือ REIT อาจจะตอบโจทย์สำหรับคนที่อยากลงทุนในอสังหาริมทรัพย์

กอง REIT ก็คือการจัดการกับทรัพย์สินรูปแบบหนึ่ง โดยที่ผู้ก่อตั้งกอง REIT อาจจะไปซื้อกรรมสิทธิ์ของทรัพย์สิน (Freehold) หรือ เช่ากรรมสิทธิ์นั้นเป็นระยะเวลาหนึ่ง (Leasehold) และนำกรรมสิทธิ์ของทรัพย์สินนั้นมาแบ่งขายเป็นหน่วยทรัสต์ โดยผู้ก่อตั้งกองนั้นก็จะได้ค่าธรรมเนียมจากการบริหารจัดการทรัพย์สินนั้น และผู้ที่เข้าไปลงทุนในหน่วยทรัสต์ หรือทรัสตี (Trustee) ก็จะได้เงินปันผลจากรายได้หักกับค่าบริหารจัดการทรัพย์สินจากทรัพย์สินนั้น ตามอัตราส่วนหน่วยทรัสต์ที่ถือไว้

การที่จะลงทุนในกอง REIT สามารถทำได้สองทาง หนึ่งคือลงทุนตั้งแต่วันที่กอง REIT เสนอขายครั้งแรก คล้ายๆ กับ IPO หุ้น หรือ สองคือซื้อหน่วยทรัสต์ต่อจากคนอื่น ซึ่งสามารถทำได้เหมือนกับซื้อ-ขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์เลย

ข้อดี
– ผลตอบแทนสูงและใช้เงินลงทุนต่ำ แค่มีเงินร้อยบาท ก็สามารถลงทุนในกองทรัสต์ได้แล้ว โดยผลตอบแทนจะมาในรูปแบบของเงินปันผลและราคาส่วนต่างของหน่วยทรัสต์เมื่อเราต้องการขาย

ข้อเสีย
– ถ้าเพื่อนๆ มีกองทรัสต์อยู่ และแล้วอยากแปลงเป็นเงินสดทันที อาจขาดทุนจากส่วนต่างของราคาของหน่วยทรัสต์ก็ได้ เพราะราคาของหน่วยทรัสต์เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาเหมือนราคาหุ้น

 

  6  

หุ้น

 

เมื่อพูดถึงการลงทุนหุ้น ใครหลายๆ คนอาจจะมองว่า เป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงและจับต้องไม่ได้ แต่การลงทุนหุ้นก็เหมือนการลงทุนธุรกิจนั่นแหละ โดยการที่เราซื้อหุ้นในบริษัทนั้น เท่ากับการที่เราเป็นเจ้าของบริษัทนั้นตามสัดส่วนของหุ้นที่เราถือ แม้เราจะมีหุ้นแค่ 1 หุ้น หรือ ลงทุนแค่ร้อยบาท เราก็สามารถเข้าประชุมหุ้นของบริษัทได้นะ 

โดยผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุนในหุ้นจะมีอยู่สองอย่างคือ เงินปันผล (ผลกำไรของกิจการนั้นๆ ) และกำไรส่วนต่างจากราคาหุ้น (capital gain)

ข้อดี
– ผลตอบแทนจะสูง เป็นทรัพย์สินที่สามารถนำไปค้ำประกันได้ 
– แค่มีเงินเริ่มต้นลงแค่มีเงินร้อยบาท ก็สามารถลงทุนหุ้นได้แล้วเช่นกัน

ข้อเสีย
– แม้ว่าการลงทุนในหุ้นจะให้ผลตอบแทนที่สูงขึ้น แต่ก็แลกมากับความเสี่ยงที่สูงขึ้นตามมาเช่นกัน ดังนั้นทุกคน ควรศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนลงทุนว่า ราคาที่เราต้องจ่าย คุ้มค่ากับราคาตามปัจจัยพื้นฐานของหุ้นตัวนั้นแล้วหรือไม่ ซึ่งถ้าหากยังไม่มีประสบการณ์มากพอ แนะนำให้หลีกเลี่ยงพวกหุ้นปั่นหรือหุ้นที่มีราคาแพงแต่ไม่มีพื้นฐานก่อน เนื่องจากอาจจะทำให้เราขาดทุนได้

 

  7  

กองทุน

 

การลงทุนในกองทุนเป็นอะไรที่คล้ายๆ การลงทุนในหุ้น แต่กองทุนมีความหลากหลายมากกว่าหุ้นไทยตรงที่ว่า กองทุนจะสามารถลงหุ้นต่างประเทศ หรือจะเป็นทรัพย์สินอื่นนอกเหนือจากหุ้นได้ เช่น พันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้ ตลาดเงิน หรือจะเป็น start up ก็ได้ ขึ้นอยู่กับเราว่าจะเลือกลงทุนกองทุนธีมอะไร ข้อแตกต่างอีกอย่างหนึ่งคือ กองทุนจะมีผู้เชี่ยวชาญดูแลให้นั่นเอง

ข้อดี
– ให้ผลตอบแทนที่สูง (แต่อาจจะน้อยกว่าหุ้นนะ) โดยผลตอบแทนของกองทุนหลักๆ คือ กำไรส่วนต่างของราคาหน่วยกองทุน (capital gain) ส่วนเงินปันผลต้องขึ้นอยู่กับว่าเราเลือกลงทุนกองทุนที่จ่ายปันผลหรือไม่
– สามารถกระจายความเสี่ยงโดยไม่ต้องใช้เงินมหาศาลได้ เพราะกองทุนก็จะลงทุนในหุ้นมากกว่าหนึ่งตัวอยู่แล้ว ซึ่งจะทำให้ความเสี่ยงในการลงทุนลดลง
– เป็นตัวเลือกที่ดีของคนที่เพิ่งเริ่มลงทุนและกระจายความเสี่ยง เนื่องจากมีผู้เชี่ยวชาญคอยดูแล

ข้อเสีย
– เราไม่สามารถเลือกได้ว่ากองทุนจะนำเงินของเราไปลงทุนในทรัพย์สินไหนแบบเฉพาะเจาะจง ซึ่งถ้าเราได้กำไร เราก็จะต้องแบ่งค่าธรรมเนียมให้กับกองทุนอีก ดังนั้นนักลงทุนที่มีความเชี่ยวชาญส่วนใหญ่จึงมักเลือกที่จะลงทุนเองมากกว่า

 

  8  

ทอง

 

ไม่ว่าจะยุคสมัยไหน ทองก็ยังคงเป็นทรัพย์สินลำดับต้นๆ ที่คนนึกถึงเสมอสำหรับการลงทุนระยะยาว ระยะยาวในที่นี้ก็คือสิบปีขึ้นไปนะะ ซึ่งที่คนนึกถึงบ่อย ก็เพราะว่าเงินในการเริ่มมีเงินหลักร้อยก็สามารถลงทุนในทองคำได้แล้ว เพราะการที่เราจะลงทุนในทองคำนั้น เดี๋ยวนี้จะมีพวกแอปออมทอง ที่เราจะสามารถลงทุนในสัญญาซื้อขายทองคำล่วงหน้า (Gold Futures) หรือกองทุนทองแทนก็ได้ โดยไม่ต้องเก็บทองไว้กับตัวซึ่งป้องกันความเสี่ยงจากการขโมยได้ 

ข้อดี
– เป็นการลงทุนที่ดีที่ในการป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อและมีความเสี่ยงต่ำ เพราะตราบใดที่ประเทศต่างๆ ยังมีทองคำเป็นทุนสำรองแทนเงินสด ก็เป็นไปได้ยากที่ทองคำจะถูกด้อยค่าลง อีกทั้งจากในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ก็พบว่ามูลค่าของทองคำยังเพิ่มขึ้นตลอดเรื่อยๆ อีกด้วย
– ผลตอบแทนมาก (แต่อาจจะไม่ได้เยอะเท่าลงทุนในหุ้นหรือลงทุนในธุรกิจ)

ข้อเสีย
– เนื่องจากราคาทองจะมีความผันผวนอยู่ตลอด การลงทุนทองในระยะสั้นจึงถือว่ามีความเสี่ยงระดับนึงเลย

 

  9  

แฟรนไชส์

 

หลายๆ คนอาจจะรู้จักกาแฟอเมซอน แล้วหลายคนรู้ไหมว่าเราก็สามารถเป็นเจ้าของร้านกาแฟอเมซอนได้ โดยการซื้อแฟรนไชส์อเมซอน! ซึ่งนอกจากแฟรนไชส์อเมซอนแล้ว เราก็ยังสามารถลงทุนในแฟรนไชส์อื่นๆ ได้อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นแฟรนไชส์ชานมไข่มุกหรือแฟรนไชส์ร้านอาหาร เป็นต้น 

โดยการลงทุนในแฟรนไซส์ ก็เหมือนการลงทุนในธุรกิจหนึ่ง ที่ทางแฟรนไชส์มักจะมีระบบบริหารจัดการ ทรัพยากรต่างๆ เช่น วัตถุดิบ สูตรอาหาร มาให้อยู่แล้ว โดยเงินที่ใช้ลงทุน จะเริ่มต้นตั้งแต่หลักหมื่นถึงหลักล้าน ขึ้นอยู่กับประเภทและชื่อเสียงของแบรนด์แฟรนไซส์นั้นๆ 

ข้อดี
– ไม่ต้องทำการตลาดเอง เพราะตัวแบรนด์ส่วนใหญ่ที่ทำแฟรนไชส์มักจะมีชื่อเสียงอยู่แล้ว ลูกค้าจึงจะรู้จักอยู่แล้วนั่นเอง 
– ลดความเสี่ยงและประหยัดต้นทุนในการเริ่มต้นธุรกิจ เพราะตัวแฟรนไชส์มักจะเตรียมพร้อมทุกอย่างมาให้เรียบร้อย ทั้งระบบการจัดการและวัตถุดิบ สูตรอาหารใดๆ

ข้อเสีย
– การลงทุนในแฟรนไชส์มีความเสี่ยงสูงมาก รวมถึงอาจจะมีระยะคืนทุนที่นาน เช่น แฟรนซายน์อเมซอนที่ระยะคืนทุนอยู่ที่สามปี เป็นต้น
– อาจจะต้องลงแรงและเวลาในช่วงแรกของการตั้งแฟรนซายน์อีกด้วย เพื่อทำให้ได้ลูกค้ากลับมาที่ร้านเยอะๆ
– อาจโดนหลอกเอาเงินไปได้ เหมือนกรณีเคสดารุมะ ซูชิ ดังนั้นเราจึงควรเลือกแบรนด์แฟรนไชส์ที่มีความน่าเชื่อถือ

 

  10  

สินค้าแบรนด์เนม

 

ไม่รู้จะเรียกว่าการลงทุนหรือเหตุผลปลอบใจตัวเองในการใช้เงินหลักหมื่นหลักแสนไปกับการซื้อกระเป๋าและนาฬิกาแบรนด์เนม😂 แต่ต้องยอมรับเลยว่า ของแบรนเนมด์พวกนี้ราคาขึ้นทุกปี และยังขึ้นเร็วกว่าเงินเฟ้ออีกด้วย!!! โดยเฉพาะ Celine ที่ตั้งแต่ลิซ่ามาเป็นพรีเซ็นเตอร์ Celine Ava bag หรือที่เรียกกันว่ากระเป๋าลิซ่าก็มีราคาสูงขึ้นมาทันที โดยราคาพุ่งสูงขึ้นไปถึง 18% 

ข้อดี
– เป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูง และเราสามารถจับต้องได้จริง รวมถึงชื่นชมของเหล่านั้นได้ทุกวัน 

ข้อเสีย
– เราอาจจะตัดใจขายไม่ได้!
– สำหรับใครที่ตั้งใจซื้อมาเพื่อรอเวลาขายต่อจริง จะต้องหาวิธีการและอุปกรณ์การเก็บรักษาของแบรนเนมด์เหล่านี้ให้ดีๆ เพื่อไม่ให้ราคาเสีย ก็คืออาจจะต้องดูแลรักษายุ่งยากหน่อยนั่นเอง

 

  11  

ตราสารหนี้

 

ตราสารหนี้หรือหุ้นกู้ มันก็คือการที่เราปล่อยกู้ให้บริษัท โดยผลตอบแทนจะขึ้นอยู่กับอัตราดอกเบี้ยของหุ้นกู้ชุดนั้น ซึ่งการที่อัตราดอกเบี้ยจะสูงหรือต่ำ จะขึ้นอยู่กับสองปัจจัยหลัก หนึ่งคือความมั่นคงของบริษัทที่ปล่อยกู้ ถ้าบริษัทมีความมั่นคงมาก ความเสี่ยงก็จะน้อย ดอกเบี้ยก็จะน้อยตาม และสองคือระยะเวลาของหุ้นกู้ ถ้าระยะเวลายิ่งนาน ความเสี่ยงก็จะเพิ่มขึ้น ดอกเบี้ยก็จะสูงขึ้นตามไปด้วยนั่นเอง 

ข้อดี
– อัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร

ข้อเสีย
– แม้ดอกเบี้ยจะสูงกว่า แต่ความเสี่ยงก็สูงตามมาเช่นกัน ความมั่นคงและความน่าเชื่อถือจึงเป็นสิ่งสำคัญมากๆ ในการเลือกซื้อหุ้นกู้ เพราะถ้าบริษัทไม่มีความมั่นคง เราก็อาจจะประสบปัญหาเรื่องสภาพคล่องได้ เมื่อบริษัทตัดสินใจที่จะไม่จ่าย เราก็จะไม่ได้เงินต้นคืนตามเวลาที่กำหนด หรืออย่างแย่ที่สุดคือสูญเงินต้นทั้งหมดในกรณีที่บริษัทล้มละลาย

 

  12  

Cryptocurrency

 

สำหรับข้อสุดท้ายก็คือเหรียญคริปโตหรือก็คือสินทรัพย์ทางดิจิตอลอย่างหนึ่งนั่นเอง ซึ่งพวกเราขอเตือนก่อนเลยว่า ใครจะลงทุนคริปโตนั้น จะต้องเรียนรู้อ่านกราฟคริปโตให้เป็น และระวังให้ดีเลย เพราะราคาในตลาดคริปโตนั้นผันผวนมากกกกก ทำเอานักลงทุนบางท่านนอนไม่หลับกันเลยทีเดียว ซึ่งเหรียญคริปโตที่มีชื่อเสียงและมีมูลค่ามากที่สุด ณ ตอนนี้ก็คือ บิทคอยน์ (Bitcoin)

สำหรับใครที่สนใจอยากเปิดบัญชีเทรดคริปโต แนะนำว่าควรเช็คให้ดีก่อนด้วยว่า เหรียญของบริษัทนั้น มีความมั่นคงและความน่าเชื่อถือหรือไม่ ทั้งนี้ในระยะสั้น คริปโตอาจจะเป็นทรัพย์สินที่เหมาะกับสายเก็งกำไรมากกว่าสายลงทุน และเหมาะกับคนมีเงินเย็นและรับความเสี่ยงจากการสูญเงินก้อนนั้นได้จริงๆ มากกว่านั่นเอง

ข้อดี
– คริปโตให้ผลตอบแทนที่สูง และไม่ได้มีเงินลงทุนขั้นต่ำที่กำหนดชัดเจน คือแค่มีเงินร้อยบาท ก็สามารถลงทุนคริปโตได้แล้ว

ข้อเสีย
– ผลตอบแทนสูง ความเสี่ยงก็สูงมากเช่นกัน เนื่องด้วยความผันผวนตลอดเวลาอย่างที่บอกไป จึงมีโอกาสที่เงินต้นของเราจะหายไปทั้งก้อนเช่นกัน
– อาจมีความเสี่ยงที่เจ้าของโปรเจกต์จะตั้งโปรเจกต์ขึ้นมา เพื่อมาหลอกเงินนักลงทุน อย่างเช่นกรณี Squid Game Coin